จัดการความรู้ สะท้อนความเคลื่อนไหวการจัดการทรัพยากร การแบ่งปันผลประโยชน์ การทำความเข้าใจในการอนุรักษ์ ส่งเสริมและพัฒนา สำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยวิถีชีวิต ภูมิปัญญา เกษตรกรรมผสมผสาน ปัญหาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรม แนวคิดของการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆ ปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ประสบการณ์ กลยุทธ์ต่างๆด้านการนำเที่ยว โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร (รักษาการ)ประธานกลุ่ม
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เที่ยวพิพิธภัณฑ์วัดเขายี่สาร
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
โครงการสัมมนาทางวิชาการเรื่องทิศทางและแนวโน้มของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อชุมชน
ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมบริการสำคัญซึ่งนำรายได้เข้าสู่ประเทศอันดับต้นๆนานกว่าทศวรรษนับตั้งแต่มีการผลักดันนโยบาย Visit Thailand’s Year เมื่อปีพ.ศ.2530 ถึงกระนั้นก็ตามในทางกลับกัน การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของคนไทยก็ทำให้เกิดสภาวการณ์ไหลออกของเงินตราด้วยสัดส่วนที่น่าใจหาย เนื่องจากรสนิยมของคนไทยบางกลุ่ม ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวพักผ่อน หรือการไขว่คว้าโอกาสทางการศึกษาหลายระดับ ทั้งๆที่กว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวตลาดต่างๆให้เดินทางเข้ามาประเทศไทยได้นั้น ต้องใช้กลยุทธ์และการระดมทรัพยากรจำนวนมหาศาล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาด เพื่อสร้างภาพลักษณ์และสร้างความพรั่งพร้อมทุกอย่างเพื่อการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย
การดำเนินงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ส่งผลทำให้การท่องเที่ยวซึ่งแต่เดิมเป็นโอกาสของคนกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆในบางจังหวัด กลายเป็นโอกาสของคนในชนบทหลายจังหวัดที่เคยเป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยว รวมถึงคนในภาคเกษตรกรรมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวในปัจจุบันได้มุ่งความสนใจต่อวิถีชีวิตท้องถิ่นและชุมชน ที่ยังสามารถรักษาภาพความเป็นอยู่ในอดีตอันสงบ สันติ น่ารื่นรมย์และมีการอนุรักษ์สืบทอดต่อเนื่องกันมาอย่างไม่ขาดสาย
การท่องเที่ยวเพื่อชุมชน(Community Based Tourism) นอกจากจะเน้นการสัมผัสวิถีชีวิต(Life Style)เรียบง่ายในชนบทแล้ว ยังรวมความถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร(Agrotourism) การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ(Health Tourism) โดยเฉพาะในส่วนของการบำบัดและการป้องกันด้วยสมุนไพร บ่งชี้ถึงภูมิปัญญาของชุมชน และการเที่ยวชมอุดหนุนสินค้าแปรรูปทางเกษตรกรรม สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และการท่องเที่ยวผจญภัยซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการของชุมชนด้วย
การท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน(Sustainable Community- Based Tourism) จึงเป็นการท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ศิลปะหัตถกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ครบวงจร เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ สร้างงาน สร้างความภาคภูมิใจ สร้างความรักและความหวงแหนทรัพยากรท่องเที่ยวของชุมชนอย่างแท้จริง สอดคล้องกับวาระแห่งชาติเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืนที่เน้นการสร้างสรรค์คุณค่าและการสร้างเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อให้ประเทศไทยมีฐานะเป็นTourism World Class Destination อย่างแท้จริง
วัตถุประสงค์:
มหาวิทยาลัย............มีปรัชญาในสร้างคนดีมีปัญญา เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การนำภูมิปัญญาและคุณธรรมออกไปรับใช้สังคม ชุมชนและประเทศชาติ ความสำคัญของการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน เป็นพื้นฐานแห่งการสร้างความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรมให้แก่สังคมโดยองค์รวม การเผยแพร่ข้อมูลความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับทิศทางและแนวโน้มของการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนจากผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวและการตอบรับทางวิชาการอย่างเหมาะสมจากมวลชนในวงกว้าง
สิ่งสำคัญที่สุดคือกิจกรรมข้างต้นเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ(ท่องเที่ยว)และสาขาธุรกิจโรงแรมได้เรียนรู้ทักษะและประสบการณ์หลากหลายจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และจากผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งมีโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้และนำเสนอผลงานแห่งบูรณาการทางการศึกษาแก่สังคมในคราวเดียวกัน
วิธีการสัมมนา:
อภิปราย ซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น บรรยายประกอบ วิดีทัศน์ แผ่นใส สไลด์และVisualize System Presentation
กำหนดการสัมมนา:
วันจันทร์ที่18 กุมภาพันธ์ 2545 เวลา 13.00-17.30น.
สถานที่จัดการสัมมนา:
ห้องประชุมชั้น 8 อาคารเฉลิมพระชนม์พรรษา 72 ปี (อาคาร15ชั้น) ถนนแจ้งวัฒนะ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220
วิทยากร:
- นักวิชาการจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 202 อาคารเลอคองคอร์ด รัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กทม.10310 โทร.6941222 Fax6941443 6941446
หัวข้อ: โฮม สเตย์(Home Stay)วันนี้กับการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน
- คุณศุภฤกษ์ ศูรางกูร นายกสมาคมไทยธุรกิจการเที่ยว (Association of Thai Travel Agents ATTA)กรรมการผู้จัดการบริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด 133/19-20 ถ.ราชปรารภ มักกะสัน ราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทร. 2465659 Fax 2465658 2488420
หัวข้อ: โอกาสและแนวโน้มของธุรกิจท่องเที่ยวกับความตระหนักถึงชุมชนและทรัพยากรท่องเที่ยว
- คุณดวงกมล จันทร์สุริยวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอีโคไลฟ์ จำกัด โทร.5672039 Fax 9584305
หัวข้อ: ทัวร์วัฒนธรรมกับการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนและภูมิปัญญาไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
- คุณรพีพัฒน์ เกษโกศล นักวิชาการจากศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร เลขที่ 17/1 ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กทม.10200 โทร2257612-4 Fax2257616
หัวข้อ: มรดกวัฒนธรรมชุมชนเกาะรัตนโกสินทร์กับการจัดเส้นทางการท่องเที่ยว
ผู้ดำเนินรายการ
- อาจารย์พิทยะ ศรีวัฒนสาร คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 110/1-4 ถนนประชาชื่น เขตหลักสี่ กทม. 10210
ผู้เข้าร่วมการสัมมนา:
นักศึกษา คณาจารย์และผู้สนใจทั่วไปประมาณ 200 คน(ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
ผลที่คาดว่าจะได้รับ:
กิจกรรมทางวิชาการนี้ทำให้สังคมและผู้เกี่ยวข้องรับรู้ถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ทางวิชาการที่มุ่งเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์จากนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงและนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งการนำเสนอผลงานของนักศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทิศทางและแนวโน้มของการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนในประเทศไทย เพื่อให้เกิดทัศนคติและการเตรียมพร้อมในการตอบรับและการจัดการด้านธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ มัคคุเทศก์ ชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวและนักศึกษาที่กำลังเรียนในสาขาวิชาข้างต้น
งบประมาณ: บาท
ประมาณการค่าใช้จ่าย:
-ค่าตอบแทนวิทยากร บาท
-ค่าจัดทำเอกสาร บาท
-ค่าฟิล์ม อัด ล้าง ขยาย บาท
-ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำนิทรรศการผลงานของนักศึกษา บาท
-ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด บาท
กำหนดการสัมมนา
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545
12.30–13.00 ลงทะเบียน
13.00-13.10 คณบดีคณะวิทยาการจัดการกล่าวเปิดการสัมมนา
13.10-13.30 ผู้ดำเนินรายการกล่าวแนะนำวิทยากร
13.30-14.00 โฮมสเตย์วันนี้กับการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน(รอบแรก)
14.05-1435 โอกาสและแนวโน้มของธุรกิจท่องเที่ยวกับความตระหนักชุมชน
และทรัพยากรท่องเที่ยว(รอบแรก)
14.40-15.10 ทัวร์วัฒนธรรมกับการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนและภูมิปัญญาไทย
ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (รอบแรก)
15.15-15.45 มรดกวัฒนธรรมชุมชนเกาะรัตนโกสินทร์กับการจัดเส้นทาง
ท่องเที่ยว(รอบแรก)
15.45-16.00 พักSolf Drink
16.00-17.00 อภิปรายรอบที่สอง
17.00-17.30 ซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
สรุป
คณบดีกล่าวปิดการสัมมนา
มอบของที่ระลึก
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Responsible Ecological Social Tours
แนะนำโครงการท่องเที่ยวเพื่อชีวิตและธรรมชาติ
โครงการท่องเที่ยวเพื่อชีวิตและธรรมชาติ ก่อกำเนิดขึ้นในปี 2537 เป็นโครงการการท่องเที่ยว Home Stay บริเวณ สถานที่ของบ้านปราสาท หมู่ที่ 7 ต.ธารประสาทห่างจากตัวเมือง 45 กิโลกรัม จ.นครราชสีมา ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม ต่อมาในปี 2544 ได้แยกโครงการออกมาดำเนินงานโดยอิสระ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจของคนสังคมในเรื่องวัฒนธรรมชุมชนภูมิปัญญาท้องถิ่น
และการอนุรักษ์ทรัพยากรของชาวบ้าน ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่เข้าไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน โดยการพักอาศัยร่วมชายคอ เข้าร่วมกิจกรรมในวิถีปกติของชาวบ้านรับประทานอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ ลักษณะของท้องถิ่น มีชาวบ้านเป็นผู้พาเที่ยว
การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุตามจุดเป้าหมายดังกล่าวโครงการฯ เห็นความสำคัญในการทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมชุมชนให้เกิดสำนึกของท้องถิ่น เชื่อมโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเข้าเป็นส่วนหนึ่ของกระบวนการพัฒนาชุมชนโดยรวม ในส่วนของนักท่องเที่ยว เอกทางโครงการฯ ถือเป็นภาระกิจหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจและให้ข้อมูลถึงการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่นักท่องเที่ยวในฐานะผู้ไปเยือนต้องเคารพวัฒนธรรมและกติกาของท้องถิ่นเช่นกันกิจกรรมของโครงการ
ความหมายของ CBST (หรือ เรียกอีกนัยว่า Home stay)
“ช่างฝันเกินไป…ไม่มีใครเขาอยากซื้อทัวร์เพื่อมาลำบากหรอก”แรกเมื่อฉันเริ่มคิดทำเรื่องท่องเที่ยวโดยชุมชน มีหลายเสียงท้วงติงไม่เห็นด้วยเรื่องรูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้นการท่องเที่ยวในหมู่บ้านพัก บ้านชาวบ้าน กินอาหารแบบที่ชาวบ้านกิน และออกไปไร่ ไปนา หาปลากับชาวบ้านบางคนนิยามทัวร์ที่ฉันทำว่า “ทรมานทัวร์”
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดกระทงประเภทสวยงามประจำปี2553
โดย เกษม พุทธา
นักศึกษาชั้นปีที่3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
รองประธานชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
อนุพงศ์ ทิพวรรณ
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
(ร่าง)โครงการบริษัททัวร์ต้นแบบ revised 26 Oct 2010
(ร่าง)โครงการบริษัททัวร์ต้นแบบ revised 26 Oct 2010
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
2.ชื่อโครงการ บริษัททัวร์ต้นแบบ (Proto-type Tour Company ดีพียู ฮอลิเดย์ จำกัด - DPU Holidays Co. Ltd.)
3.ความสอดคล้องกับแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
3.1 ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษา /
3.2 ยุทธศาสตร์การวิจัยและบริการวิชาการ
3.3 ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการองค์กร /
3.4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาอาจารย์ /
3.5 ยุทธศาสตร์การพัฒนานักศึกษา /
3.6 ยุทธศาสตร์การพัฒนาอาคารและสถานที่
3.7 ยุทธศาสตร์การส่งเสริม ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม /
4.หลักการและเหตุผล
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนระดับปริญญาศิลปะศาสตร-บัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรมมาตั้งแต่พ.ศ.2530 รวมเป็นระยะเวลา 23 ปี ปัจจุบันผลิตบัณฑิตไปแล้ว 18 รุ่น ภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรมมีการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อปีการศึกษา2545, 2547 และ 2550 ตามลำดับ มีอาจารย์ประจำสังกัดภาควิชารวม 18 คน และอาจารย์ผู้สอนในหมวดวิชาภาษาต่างประเทศเพื่อการท่องเที่ยวและการโรงแรมรวม 18 คน
5.1 เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสเรียนรู้และสร้างเสริมประสบการณ์ในการบริหารและจัดการองค์กรต้นแบบของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการด้วยตนเองตามหลักวิชาภายใต้การให้คำปรึกษาและควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
5.2 เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จเชิงธุรกิจอันมีพื้นฐานมาจากการศึกษาทางด้านวิชาการอย่างครบถ้วนจนครบตามหลักสูตรของภาควิชาอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม การจัดเลี้ยง การจัดการประชุม และธุรกิจสายการบิน
6.กลุ่มเป้าหมาย (ขึ้นอยู่กับจำนวนกลุ่มนักศึกษาแต่ละรุ่น อย่างน้อยรุ่นละ 10 คน แต่ไม่เกิน 20 คน) ประกอบด้วย
6.1นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาสหกิจศึกษาหลักสูตรการศึกษาปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (การท่องเที่ยวและการโรงแรม)
6.2 นักศึกษาที่ต้องฝึกงานตามหลักสูตรการศึกษาปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (การท่องเที่ยวและการโรงแรม)
6.3 นักศึกษาที่เรียนสายวิชาการท่องเที่ยว
7.หน่วยงานผู้รับผิดชอบ / ผู้รับผิดชอบโครงการ
8.1 ช่วงทดลอง
8.1.1 รับสมัครนักศึกษาฝึกงานเข้าร่วม จำนวน 10 คน
8.1.2 ขออนุมัติที่ตั้งสำนักงาน อุปกรณ์สำนักงานที่จำเป็น (โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องสแกน ) ในช่วงทดลองปฏิบัติงาน
8.1.3 กำหนดภาระงาน (นำเที่ยวทั่วราชอาณาจักรและต่างประเทศ จองตั๋วโดยสารเครื่องบิน เรือสำราญ ให้เช่าเหมารถ)
8.1.4 การวางแผนการตลาดและอบรมกระบวนการทำงานแก่ผู้ร่วมโครงการจากวิทยากรภายนอกที่มีประสบการณ์ โดยตั้งเป้าหมายขายผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆที่เหมาะสม อย่างน้อย 3 ผลิตภัณฑ์ ตั้งราคาผลิตภัณฑ์ ผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะในเว็บไซต์ และFace book และทำให้เว็บไซต์มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการสร้างสรรค์ช่องทางจำหน่ายและดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นอย่างเข้มข้น และมีนัยสำคัญ
8.1.5 กำหนดหน้าที่ของสมาชิกออกเป็นฝ่ายต่างๆ ในบริษัท โดยคำนึงถึงบุคลิกภาพและความสามารถของแต่ละคน เพื่อรับหน้าที่ในการประสานให้เกิดการเชื่อมโยงกิจกรรมทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
8.1.6ดำเนินกระบวนการด้านการเบิกจ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติงานช่วงเวลาที่กำหนดในโครงการ ค่าเช่าเหมาพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ามัคคุเทศก์ ค่าเข้าชมกิจกรรมทางด้านศิลปวัฒนธรรม ค่าทิป ฯลฯ
8.1.7 การซักซ้อมและยืนยัน(Reconfirmation) แผนปฏิบัติงานก่อนการดำเนินงานตามโครงการ
8.1.8 จัดเตรียมเอกสารประเมินความพึงพอใจของลูกค้า
8.1.9ดำเนินงานตามแผนในโครงการทุกขั้นตอนและประเมินความพึงพอใจจากลูกค้าเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพในการบริการต่อไป
8.1.10 สรุปผลการปฏิบัติงานแต่ละผลิตภัณฑ์
8.2 ช่วงดำเนินการจริง
8.2.1 รับสมัครนักศึกษาฝึกงานเข้าร่วม อย่างน้อย 10 คน แต่ไม่เกิน 20 คน
8.2.2 อบรมกระบวนการทำงานแก่ผู้ร่วมโครงการ
8.2.3ตั้งเป้าหมายขายผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆที่เหมาะสม ตามความสามารถและตามการตอบสนองที่เป็นจริงทางการตลาดแต่ไม่ควรจะน้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์ ตั้งราคาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์ช่องทางจำหน่ายและดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นอย่างเข้มข้น
8.2.4 กำหนดหน้าที่ของสมาชิกออกเป็นฝ่ายต่างๆ ในบริษัท โดยคำนึงถึงบุคลิกภาพและความสามารถของแต่ละคน เพื่อรับหน้าที่ในการประสานให้เกิดการเชื่อมโยงกิจกรรมทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
8.2.5ดำเนินกระบวนการด้านการเบิกจ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติงานช่วงเวลาที่กำหนดในโครงการ
8.2.6 การซักซ้อมและยืนยัน(Reconfirmation)แผนปฏิบัติงานก่อนการดำเนินงานตามโครงการ
8.2.7 จัดเตรียมเอกสารประเมินความพึงพอใจของลูกค้า
8.2.8 ดำเนินงานตามแผนในโครงการทุกขั้นตอนและประเมินผลการดำเนินเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพในการบริการต่อไป
8.2.9 สรุปผลการดำเนินงานแต่ละโครงการ
8.3 ช่วงจัดตั้งเป็นบริษัทธุรกิจนำเที่ยว
8.3.1 รับสมัครนักศึกษาฝึกงานเข้าร่วม อย่างน้อย 20 คน แต่ไม่เกิน 30 คน
8.3.2 อบรมกระบวนการทำงานแก่ผู้ร่วมโครงการ
8.3.3 ตั้งเป้าหมายขายผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆที่เหมาะสม ตามความสามารถและตามการตอบสนองที่เป็นจริงทางการตลาดแต่ไม่ควรจะน้อยกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ ตั้งราคาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์ช่องทางจำหน่ายและดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นอย่างเข้มข้น
8.3.4 กำหนดหน้าที่ของสมาชิกออกเป็นฝ่ายต่างๆ ในบริษัท โดยคำนึงถึงบุคลิกภาพและความสามารถของแต่ละคน เพื่อรับหน้าที่ในการประสานให้เกิดการเชื่อมโยงกิจกรรมทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
8.3.5ดำเนินกระบวนการด้านการเบิกจ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติงานช่วงเวลาที่กำหนดในโครงการ
8.3.6 การซักซ้อมและยืนยัน(Reconfirmation)แผนปฏิบัติงานก่อนการดำเนินงานตามโครงการ
8.3.7 จัดเตรียมเอกสารประเมินความพึงพอใจของลูกค้า
8.3.8 ดำเนินงานตามแผนในโครงการทุกขั้นตอนและประเมินผลการดำเนินเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพในการบริการต่อไป
8.3.9 สรุปผลการดำเนินงานแต่ละโครงการ
-ช่วงทดลองดำเนินการ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553
-ช่วงดำเนินการจริง ตลอดปีการศึกษา 2554
-ช่วงจัดตั้งเป็นบริษัทธุรกิจนำเที่ยว ปีการศึกษา 2555
10.1 ในช่วงทดลองดำเนินการ งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากภาควิชาฯ และรายรับจากลูกค้าภายในมหาวิทยาลัยและลูกค้าทั่วไป
10.2ช่วงดำเนินการจริง งบประมาณจากการลงทะเบียนของนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ และรายรับจากลูกค้าทั่วไป
10.3ช่วงจัดตั้งเป็นบริษัทธุรกิจนำเที่ยว งบประมาณจากนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน รายรับจากลูกค้าทั่วไปและผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจ
ณ ภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม และในบริเวณ/สถานที่ซึ่งได้รับอนุมัติให้เป็นที่ตั้งดำเนินกิจการของบริษัททัวร์ต้นแบบ(DPU Holiday Co.Ltd.)
12.1 ช่วงทดลองการดำเนินคาดว่าจะมีลูกค้าประมาณโครงละ 20 คน รวม 3 โครงการ มีลูกค้าประมาณ 60 คน
12.2 การกำหนดโครงการเล็กๆแบบ One day trip จะทำให้สามารถควบคุมเป้าหมายการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
รายจ่าย
(คงเหลือกำไร เป็นเงินจำนวน16,000-11,100 บาท= 4,900 บาท)
12.4 ในช่วงดำเนินการจริงและช่วงจัดตั้งเป็นบริษัทธุรกิจนำเที่ยว (สามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดตามสถานการณ์ที่เหมาะสมได้)
13.วิธีการประเมินผลและดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ
13.1 คำนวณผลการดำเนินการแต่ละช่วงเพื่อประเมินผลการดำเนินงานแต่ละโครงการ
13.2ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ แสดงออกมาเป็นผลกำไรในรูปของแต่ละโครงการซึ่งจะปรากฏออกมาเมื่อมีการสรุปผลการดำเนินงานภายหลังจากการดำเนินโครงการสิ้นสุดลง
โดย : ดร. กฤษฎา พัชราวนิช คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากรและคณะ
1. หลักการและเหตุผล
จังหวัดพะเยา เป็นจังหวัดที่เก่าแก่และเคยรุ่งเรืองของประเทศไทย โดยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายร้อยปี หลักฐานประเภทเอกสาร ตำนานพื้นเมืองล้านนา อาทิ ตำนานเมืองเงินยางเชียงแสน (หรือเมืองหิรัญนครเงินยาง) กล่าวถึงความเป็นมาของการตั้งถิ่นฐานระยะแรกของชุมชนแคว้นไทย ตั้งแต่สมัยขุนลาวเคียง [1]บรรพบุรุษของขุนจอมธรรม กษัตริย์องค์แรกแห่งแคว้นพะเยา(จ.ศ.๔๕๘, พ.ศ.๑๖๓๙)[2]
จังหวัดพะเยามีชื่อเรียกดั้งเดิมปรากฏอยู่ในตำนานและศิลาจารึกต่างๆ อาทิ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกว่า “เมืองพูยาว”[5] ตำนานพื้นเมืองพะเยาเรียกว่า “เมืองภูกามยาว”[6] หรือ “เมืองภุกามยาว”[7] หรือ “เมืองพะยาว” [8] ส่วนหลักฐานประเภทศิลาจารึกอักษรล้านนา อาทิ จารึกวัดอารามป่าญะ (พ.ศ.๒๐๓๘) เรียกตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยาในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ว่า “(พระเป็นเจ้า) เจ้าสี่หมื่นพยาว”[9] และจารึกเจ้าสี่หมื่นผู้เป็นปู่เลี้ยง(พ.ศ.๒๐๓๓) เรียกชื่อเมืองพะเยาว่า “เมิงพญาว”[10] จังหวัดพะเยาเคยเป็นราชธานีที่มีความเจริญรุ่งเรืองมิได้ด้อยไปกว่าราชธานีใกล้เคียงอื่นๆ จึงมีโบราณสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์มากมาย และยังมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบสำคัญของจังหวัด ต้องทำการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ประวัติและประเพณีวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงสินค้ามีชื่อประจำจังหวัด เพื่อให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางต่อไป
2. วัตถุประสงค์
2.1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รู้จักจังหวัดพะเยา ในแง่มุมต่างๆ ได้มากขึ้น
2.2 เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งประวัติของโบราณสถาน และสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงธรรมชาติให้แก่ประชาชน เพื่อชักจูงให้เข้ามาท่องเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยผ่านสถานที่ อันเป็นมรดกชิ้นสำคัญของชาติไทยเรา
2.3 เผยแพร่ประวัติจังหวัด อันเป็นประวัติศาสตร์สำคัญส่วนหนึ่งของชาติ โดยเฉพาะ ประวัติเมืองพะเยา ซึ่งทั้งเคยเป็นราชธานีอันเก่าแก่และเป็นเมืองสำคัญในยุคต่อๆ มา โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทั้งในจังหวัดและนักท่องเที่ยวทั่วไปได้รับรู้เรื่องราวอันสำคัญของจังหวัด
2.4 เผยแพร่สินค้าประจำจังหวัด เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ผลิตรายย่อยในจังหวัดโดยทางตรง
3. กรอบแนวคิด
แหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว สินค้าประจำจังหวัดจากภาครัฐ ประชาชน เอกชน การจัดทำวีซีดีและหนังสือ
4. ขอบเขตการดำเนินการพัฒนา
4.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา
4.1.1 วีซีดีสารคดีแนะนำจังหวัดพะเยา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้แนะนำในเบื้องต้น และนำเสนอโดยพิธีกรและนักวิชาการ ทั้งนี้ แบ่งเป็น 4 แผ่น 4 เนื้อหาด้วยกัน คือ
· ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดพะเยา นับตั้งแต่สร้างเมืองจนถึงปัจจุบัน พร้อมความคิดเห็นต่างๆ จากนักวิชาการและคนในจังหวัด จำนวน 1 แผ่น
· ประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัดพะเยา ตามท้องถิ่นต่างๆ ในจังหวัด จำนวน 1 แผ่น
· สถานที่ท่องเที่ยวทั้งโบราณสถาน วัดวาอาราม และสถานที่ท่องเที่ยวในทางธรรมชาติ รวมถึงวิธีการเดินทาง สถานที่พัก และงบประมาณในการท่องเที่ยว จำนวน 1 แผ่น
· สินค้าประจำจังหวัด ตั้งแต่สถานที่และกรรมวิธีในการผลิตอย่างคร่าวๆ ตลอดจนสถานที่ในการซื้อหาและราคาในแต่ละท้องถิ่นต่างๆของจังหวัด จำนวน 1 แผ่น รวมวีซีดี 4 แผ่นต่อ 1 ชุด
4.1.2 หนังสือแนะนำจังหวัดพะเยาโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา จำนวน 400 หน้า ต่อ 1 เล่ม แบ่งเนื้อหาเป็น 4 หัวข้อหลัก คือ
· ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดพะเยานับตั้งแต่สร้างเมืองจนถึงปัจจุบัน พร้อมภาพประกอบ
· ประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัดพะเยาตามท้องถิ่นต่างๆ ในจังหวัด พร้อมภาพประกอบ
· สถานที่ท่องเที่ยวทั้งโบราณสถาน วัดวาอาราม และสถานที่ท่องเที่ยวในทางธรรมชาติ พร้อมภาพประกอบ รวมถึงแผนที่ วิธีการเดินทาง สถานที่พัก และงบประมาณในการท่องเที่ยว
· สินค้าประจำจังหวัดพร้อมภาพประกอบ โดยจะนำเสนอตั้งแต่สถานที่และกรรมวิธีในการผลิตอย่างคร่าวๆ ตลอดจนสถานที่ในการซื้อหาและราคาในแต่ละท้องถิ่นต่างๆของจังหวัด
4.2.1 มอบสื่อวีซีดีสารคดีและหนังสือแนะนำจังหวัดให้แก่ สำนักงานท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ
4.2.2 มอบสื่อวีซีดีสารคดีและหนังสือแนะนำจังหวัดให้แก่บริษัทนำเที่ยวทั่วไป
4.2.3 มอบสื่อวีซีดีสารคดี และหนังสือแนะนำจังหวัดไว้ประจำห้องโสตทัศนศึกษาห้องสมุดตามโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ รวมถึงห้องสมุดทั่วไป
4.2.4 เผยแพร่สื่อวีซีดีในเคเบิลทีวีท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่ไปยังโรงแรม หรือสถานที่พักต่างๆ
4.3 ขอบเขตด้านองค์กร องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐ ประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา
4.4 ขอบเขตด้านระยะเวลา การพัฒนาครั้งนี้กำหนดขอบเขตระยะเวลาในการพัฒนาระหว่างเดือนสิงหาคม 2551 จนถึง เดือนมกราคม 2552 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน
5. แผนการดำเนินงานพัฒนา
การดำเนินงานประชาสัมพันธ์ ประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยว และสินค้าประจำจังหวัดพะเยา แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ดังนี้
5.1 ระยะที่ 1 ผลิตวีซีดีสารคดีแนะนำจังหวัด โดยเนื้อหาประกอบด้วยประวัติ ประเพณีวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมทั้งวิธีการเดินทาง สถานที่พัก และสินค้าประจำจังหวัด โดยมีพิธีกรเป็นสื่อในการแนะนำเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ซึ่งมีนักวิชาการเป็นผู้เรียบเรียงบทสารคดี
5.2 ระยะที่ 2 ผลิตหนังสือแนะนำจังหวัด โดยมีเนื้อหาประกอบด้วยประวัติ ประเพณีวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวพร้อมทั้งแผนที่ วิธีการเดินทาง สถานที่พัก และสินค้าประจำจังหวัด โดยมีนักวิชาการเป็นผู้เรียบเรียงข้อมูล
6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
6.1 ประชาชนทั่วไปรับรู้ประวัติศาสตร์ของไทยมากขึ้น โดยจะได้รับรู้ประวัติศาสตร์อีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่จังหวัดพะเยา หรือ “ภูกามยาว” อันเป็นราชธานีแห่งหนึ่งในอดีต
6.2 คนในจังหวัดพะเยารับรู้และภาคภูมิใจในความเป็นชาวจังหวัดพะเยามากขึ้น
6.3 สถานที่สำคัญที่คนทั่วไปไม่รู้จักได้ถูกเผยแพร่และมีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
6.4 นักท่องเที่ยวสนใจในการท่องเที่ยวจังหวัดพะเยามากขึ้น อันจะส่งผลมาถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดโดยทางตรง และเกิดการกระจายรายได้ลงไปยังท้องถิ่นต่างๆ ในจังหวัดพะเยา
6.5 สินค้าประจำจังหวัดพะเยาถูกเผยแพร่และเป็นที่รู้จักยอมรับมากขึ้น ซึ่งจะยังผลให้สามารถจำหน่ายได้มากขึ้นทั้งในท้องถิ่นเอง และกระจายออกไปนอกจังหวัดได้อีกด้วย
6.6 นักท่องเที่ยวสามารถใช้สื่อที่จัดทำทั้งสองแบบเป็นคู่มือในการท่องเที่ยวจังหวัดพะเยาได้
7. คณะพัฒนา
· ดร. กฤษฎา พัชราวนิช คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร (หัวหน้าโครงการ)
· ดร. อัฏฐมา นิลนพคุณ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
· อ. รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
· อ. พิทยะ ศรีวัฒนสาร คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
*******************************************************
[1] สงวน โชติสุขรัตน์, ตำนานเมืองเหนือ. (พระนคร: แม่บ้านการเรือน, ๒๕๐๘) หน้า๒๑๒
[2] คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒(๑), วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดพะเยา, (กรุงเทพฯ : คุรุสภา, ๒๕๔๔), หน้า๓๑
[3] คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒(๑), เรื่องเดิม, หน้า๒-๓
[4] สุรพล ดำริห์กุล, ล้านนา: สิ่งแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรม. (กรุงเทพฯ: องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๔๒), หน้า ๒๒–๒๓
[5] อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวและเดวิด เค. วัยอาจ, ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. (กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์, ๒๕๔๓), หน้า ๒๒
[6] พระยาประชากิจกรจักร์, พงศาวดารโยนก. (กรุงเทพฯ: บุรินทร์การพิมพ์, ๒๕๑๖), หน้า๒๓๒
[7] สงวน โชติสุขรัตน์, เรื่องเดิม. หน้า๒๑๒
[8] สงวน โชติสุขรัตน์, เรื่องเดิม, หน้า ๒๑๒–๒๑๓
[9] โครงการวิจัยการปริวรรตและชำระจารึกล้านนา, จารึกภาค ๑เล่ม ๑ จารึกจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา แพร่. มูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิ้ลยู ทอมป์สัน จัดพิมพ์ ในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีพระชนมายุครบ๓รอบ พุทธศักราช๒๕๓๔, หน้า๑๑๕
[10] โครงการวิจัยการปริวรรตและชำระจารึกล้านนา, เรื่องเดิม, หน้า๑๘๗
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เที่ยวสวนสมุนไพรบ้านอาจารย์สุนทร ชวนะพานิช (เทียนกิ่ง ปลาไหลเผือก)
เทียนกิ่ง แก้ไข้ ปลาไหลเผือกแก้ไข้ ปลาไหลเผือกขมมาก ใครอย่าหลงชิมเชียวละ!
เที่ยวสวนสมุนไพรบ้านอาจารย์ สุนทร ชวนะพานิช (สังกรณีตรีชวา)
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
บางตะบูน สวนครัว สวนหย่อม ร้านลุงชวน ป้าอะหงุ่น คนสู้ชีวิต
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ผู้เขียนและคณะกรรมการบริหารชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน เดินทางไปสำรวจชุมชนอนุรักษ์ป่าชายเลนที่ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เพื่อเตรียมเส้นทางการพาสมาชิกชมรมฯไปเรียนรู้วิถีชีวิตภายใต้แนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ป่าชายเลนและการประมงชายฝั่งทะเลอ่าวไทยของที่นี่
บางตะบูนเคยมีชื่อปรากฏอยู่ในเอกสารคำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมในเรื่องการส่งสินค้าประเภทของทะเลตากแห้งขึ้นไปขายยังเมืองพระนครศรีอยุธยา
ระหว่างที่แวะเข้ารับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าโรงเรียนบางตะบูนวิทยา บรรยากาศในร้านแม้จะเป็นเพิงโล่งๆขนาดกลาง พื้นไม้ หลังคามุงสังกะสี แต่ด้านข้างกลับมีแปลงพืชผักสวนครัวเล็กๆ กระถางไม้ดอกไม้ประดับ อาทิ โป๊ยเซียน ชวนชม กล้วยไม้ แค ฯลฯ ดังนั้น แม้อากาศจะร้อนและแห้ง แต่บรรยากาศทั่วไปกลับดูสดชื่น
ร้านนี้มีลูกเข้าออกเป็นระยะๆ ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าชายเจ้าของร้านทำอาหารอยู่เพียงคนเดียว จึงเข้าใจว่าทำไมอาหารที่สั่งจึงทำเสร็จช้านัก และระหว่างนั้นกรรมการชมรมบางคนก็ลุกไปทำส้มตำเอง จึงเข้าไปชวนสนทนาด้วย ทราบว่าพ่อครัวชื่อลุงชวน ทำอาหารได้ทุกชนิด ข้างๆร้านยังเปิดโต๊ะรับอัดกรอบพระด้วย หลังจากนั้นสักพักใหญ่ภรรยาลุงชวนซึ่งเพิ่งกลับจากทำธุระส่วนตัวก็เข้ามาคุยให้ฟังหลายเรื่อง
ป้าอะหงุ่นขวัญใจของลุงชวน
ลุงชวน คนสู้ชีวิต
เดิมสองสามีภรรยามีบ้านอยู่ลึกเข้าไปเล็กน้อยจากถนนใหญ่ ต่อมาไฟไหม้บ้านจนหมดตัวจึงมาปลูกเพิงขายอาหารตามสั่ง ซึ่งนอกจากลุงชวนและป้าอะหงุ่นจะใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลายด้านประกอบอาชีพอย่างน่ายกย่องแล้ว ทั้งสองเคยได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการระดับหนึ่งด้วย
ลุงชวนทำอาหารอร่อย โดยเฉพาะปลาฉลามผัดฉ่า ใช้เนื้อปลาฉลามจากแพปลาบางตะบูน รสชาติกลมกล่อม นุ่มลิ้น หากมีโอกาสกลับไปจะต้องสั่งมาลิ้มรสอีกครั้งอย่างแน่นอน หวังว่าลุงชวนกับป้าอะหงุ่นจะมีทุนสร้างบ้านใหม่ได้โดยเร็วอีกครั้งนะครับ
บางตะบูน ปลาฉลามผัดฉ่าร้านลุงชวนคนสู้ชีวิต
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
เที่ยวพระตำหนักภูพิงค์
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
เที่ยวชมบ่อน้ำโบราณที่บ้านหัวซา อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
บ่อน้ำโบราณที่บ้านหัวซา เป็นที่รู้จักกันมานานของชาวบ้านในท้องถิ่น พระครูศรีมหาโพธิ์คณานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดใหม่กรงทอง และเจ้าคณะอำเภอศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นผู้สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี เป็นผู้ที่แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่โครงการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานของกรมศิลปากร (อาจารย์ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ เป็นหัวหน้าโครงการ) ได้แก่ นายมานิต รัตนกุล นายช่างศิลปกรรม7 นายกิตติพงษ์ กุมภิโร นายช่างสำรวจ 4 และนายอนุชา(พิทยะ) ศรีวัฒนสาร นักโบราณคดี เดินทางไปสำรวจและทำแผนผังเพื่อดำเนินการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อประมาณ กลางปี พ.ศ. 2528
เที่ยวสวนสมุนไพรบ้านอาจารย์สุนทร ชวนะพานิช เร่ว
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
เที่ยวสวนสมุนไพรบ้านอาจารย์สุนทร ชวนะพานิช พิลังกาสาร
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
เที่ยวสวนสมุนไพรบ้านอาจารย์สุนทร ชวนะพานิช โด่ไม่รู้ล้ม
ว่านโด่ไม่รู้ล้ม
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
เที่ยวสวนสมุนไพรบ้านอาจารย์สุนทร ชวนะพานิช
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
เจตมูลเพลิงแดง
วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553
ชมเนินผาหมอนและเฟิร์นต้น ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดยพิทยะ ศรีวัฒนสาร
เนินผาหมอนมีพระตำหนักเรือนกระจกที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ มักจะทรงประทับเสวยพระกระยาหารเย็นอยู่เนือง พื้นที่โดยรอบมีสวนเฟิร์นต้นร่มรื่น
ดอกลำโพงที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมกุหลาบพันปีอาร์ซิเลียและทิวลิป ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมดอกโคมญี่ปุ่นที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมดอกฝิ่น ดอยปุย เชียงใหม่
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชวนเที่ยวดอยปุย เชียงใหม่ แปลงกายเป็นสาวดอย
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชวนเที่ยวดอยปุย เชียงใหม่
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ดอยปุยอยู่สูงถัดขึ้นไปจากดอยสุเทพและพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชามรดกไทยเดินทางไปถึง เดินตามกันขึ้นไปชมบ้านม้ง และเผลอไม่กี่อึดใจก็แปลงกายเป็นสาวดอยกันหลายคน
ชมกล้วยไม้พันธุ์ฟาร์แลนด์นอฟสิคที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมกุหลาบพันธุ์summer snow ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมกุหลาบพันธุ์ปิแอร์ เดอ ลองซาค
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมดอกกุหลาบที่ฌาก ชีรัค(Jacques Chirac)ถวาย
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
ชมดอกเจอเรเนียนไล่ยุง ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมหญ้าหอมที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ชมกุหลาบพันธุ์มหาจุฬาลงกรณ์ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์และตำหนักเจ้าดารารัศมี
วันนี้วันแห่งความรัก( 14 กพ.54) ชวนเชิญหมูมหาสมาชิกมาร่วมชื่นชมดอกกุหลาบพันธุ์มหาจุฬาลงกรณ์ สัญลักษณ์แห่งความรักและความเป็นปึกแผ่นระหว่างสยามกับล้านนาอันเป็นแบบอย่างที่ควารเจริญรอยตามมานานกว่าร้อยปี
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ประสูติ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๑๖ - ถึงแก่พิราลัย ๙ ธันวาคม ๒๔๗๖(สำเนาภาพมาจากค่ายดารารัศมี ขอบคุณครับ)
ที่ตำหนักเจ้าดารารัศมีก็ปลูกกุหลาบสายพันธุ์นี้
ป้ายอธิบายชื่อของกุหลาบสายพันธุ์ดังกล่าวที่ตำหนักเจ้าดารารัศมี ภายในค่ายดารารัศมี จ.เชียงใหม่
ทุกวันที่ 9 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันพิราลัย จะมีการจัดงานถวายพระกุศลอย่างยิ่งใหญ่ที่ค่ายดารารัศมี
ชมกุหลาบพันธุ์First Price ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
ชมกุหลาบพันธ์มหาจุฬาลงกรณ์ที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
สรุปการสัมมนาวิชาการโครงการจัดทำแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติงานพัฒนาการท่องเที่ยวพ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๘
วันศุกร์ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ ห้องพัชราวดี ๓ ชั้น๑๑ อาคาร ๒โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ กรุงเทพฯ
โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
๐๙.๐๕-๐๙.๑๕ น. นาย สุชาติ สิทธิหล่อ รองผอ.สนง.พัฒนาการท่องเที่ยว รรก. ผอ. สนง.พัฒนาการท่องเที่ยวกล่าวเปิดงาน มีใจความว่า
๐๙.๑๕-๑๐.๑๕ น.นาย จารุบุณณ์ ปาณานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บรรยายเรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวไทยในทศวรรษหน้า เนื้อหากล่าวถึงสถิติของนักท่องเที่ยวโลกดังนี้
-ค.ศ.๒๐๐๙ นักท่องเที่ยว๘๘๐ ล้านคน ๘๕๖ พันล.ดอล. นักท่องเที่ยวจะเพิ่ม ๘ % เราทำเพิ่มได้ ๓-๔% ก็ดีแล้วปีค.ศ.๑๙๙๕ นทท.มีสถิติการเดินทางรวม ๕๖๕ ล้านคน ปีค.ศ.๒๐๑๐ มีการเดินทางหนึ่งพันล้านคน
-ค.ศ.๒๐๒๐ นทท.จะเพิ่ม ...แอฟริกา นทท.จะโต อเมริกาโตรองลงมา เอเชียตะวันออก ในค.ศ.๒๐๒๐ โต๓๙๗ลค. (๖.๕ เปอร์เซ็นต์) ยุโรปจะโตที่สุด คือ ๒๐๒๐ โต ๗๓๐ ลค, เอเชียใต้ ๑๙ ลค,ไทยโต ๖.๕ เปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูงโลกโต ๔ เปอร์เซ็นต์
-ผู้ร่วมสัมมนา เรื่องกฎหมายนอกเหนือจากพรบ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ นอกนั้นเป็นกฎหมายขนส่ง ป่าไม้ พรบ.ททท.(ดูแลการตลาด) การดูแลทรัพยากรทท.
-ผู้ร่วมสัมมนา กฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อความอุ่นใจของนักท่องเที่ยว-ณัฐพล ทำอย่างไรกระบวนการยุติธรรมจะเดินต่อไป แม้ว่า นทท.จะเดินทางกลับไปแล้ว
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
การบรรยายพิเศษปฐมนิเทศสมาชิกกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน
วันศุกร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๕
โดย อ.พิทยะ ศรีวัฒนสาร
กลุ่มวิชาวัฒนธรรมไทย หมวดวิชาศึกษาทั่วไป
คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
อาจารย์ที่ปรึกษากลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน
สวัสดีประธานกรรมการและคณะกรรมการกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม และสมาชิกใหม่ของกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติและปลื้มปิติ ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนของพวกเรา และขอต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นทางการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
กลุ่มของเราเป็นกลุ่มคนทำกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ ที่มีค่อนข้างมีอนาคตสดใส อนุมานจากความสนใจสมัครในการเข้าร่วมทำกิจกรรมของสมาชิกจำนวนเกือบ๔๐๐คน แม้จะเพิ่งเปิดตัวใหม่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงขอกล่าวถึงแนวคิดในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนดังประเด็นต่อไปนี้
ความเป็นมา
กลุ่มCBSTC(Community -based Sustainable Tourism Club)หรือกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน ก่อตัวขึ้นจากความสนใจร่วมกันของสมาชิกกลุ่มหนึ่ง ที่จุดประกายความคิดเมื่อประมาณกลางปีพ.ศ.๒๕๔๔ว่า ทรัพยากรท่องเที่ยวทั้งหลายในท้องถิ่นทุกภูมิภาคของเรา ซึ่งทำรายได้เข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๐ จนเกือบถึงสามแสนล้านบาทในปัจจุบัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จะมีความมั่นคงและยั่งยืนสืบไปถึงอนุชนในยุคหน้าได้นั้น ประชาชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว จะต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการลงทุน บริหารและจัดการแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ สอดคล้องกับแนวความคิดการอนุรักษ์และพัฒนาการท่องเที่ยวในโลกปัจจุบัน ที่เน้นให้ชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการบริหารและจัดการทรัพยากรท่องเที่ยวของตน
การมีส่วนได้ ส่วนเสียในทรัพยากรท่องเที่ยว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยว เกิดความรู้สึกหวงแหนมรดกศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากรท่องเที่ยวของตน และนำผลประโยชน์ที่ได้จากการจัดการทรัพยากรท่องเที่ยว มาเป็นทุนในการเข้าร่วมรณรงค์ ปกป้อง ทะนุบำรุง อนุรักษ์และพัฒนามรดกทรัพยากรท่องเที่ยวของตนอย่างจริงจัง
ความเคลื่อนไหวของการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรท่องเที่ยวของชุมชน มีองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)เป็นหน่วยงานท้องถิ่นหลักที่รับผิดชอบดูแล เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และบำรุงรักษาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆอย่างค่อนข้างเต็มตัว อาทิ การจัดเก็บค่ารถรับส่งขึ้นชมทุ่งดอกกระเจียวและอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อ.เทพสถิตย์ จ.ชัยภูมิ ซึ่งมีระเบียบเคร่งครัดว่า ห้ามนำรถอื่นผ่านเข้าไปในวันหยุด ยกเว้นวันธรรมดา หรือได้รับอนุญาตจากหัวหน้าอุทยานป่าหินงามและแม้นักท่องเที่ยวจะมาเป็นหมู่คณะก็ไม่สามารถเหมารถเข้าไปชมได้
เมื่อถามว่ากระบวนการผูกขาดเก็บค่าโดยสารเข้าชมมีขั้นตอนการนำส่งรายได้และนำย้อนกลับมาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างไร มีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด ใครเป็นเจ้าของรถโดยสาร ชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียงหรือสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลเพียงกลุ่มหนึ่ง คำถามอย่างนี้เป็นสิ่งน่าสนใจทั้งสิ้น เพราะเมื่อขึ้นไปชมอุทยานป่าหินงามบางท่านอาจได้พบเศษขยะกระจายหลงหูหลงตาอยู่ไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะมีองค์กรใดองค์กรหนึ่งก้าวเข้ามามีบทบาทในการสื่อความหมายและอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เห็นความเคลื่อนไหวแง่มุมต่างๆอย่างรอบด้าน เพื่อให้การท่องเที่ยวเพื่อชุมชนมีความยั่งยืนอย่างแท้จริง
ทรัพยากรทางการท่องเที่ยวคืออะไร
เราทราบกันดีว่า ทรัพยากรท่องเที่ยวในประเทศไทยจำแนกเป็น ๓ ประเภทคือ
๑)ทรัพยากรท่องเที่ยวที่เกิดเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ทะเล ภูเขา น้ำตก ถ้ำ แม่น้ำลำธาร ป่าไม้ ฯลฯ
๒)ทรัพยากรท่องเที่ยวที่เป็นมรดกศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณี ได้แก่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ขนบธรรมเนียมประเพณี เครื่องมือเครื่องใช้ ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานโบราณ ฯลฯ
๓)ทรัพยากรท่องเที่ยวที่มนุษย์ทำขึ้น ได้แก่ สวนสัตว์ สวนสนุก อุทยานแนวคิด(Theme Parks) ฯลฯ
ทรัพยากรท่องเที่ยวเหล่านี้ บางแห่งอยู่ในการดูแลของเอกชน บางแห่งกรมป่าไม้ดูแล บางแห่งกรมศิลปากรดูแล ฯลฯ โดยที่ประชาชนในท้องถิ่นไม่มีโอกาสเข้าร่วมบริหารจัดการและแบ่งปันผลประโยชน์โดยตรง ทำให้ชุมชนมิได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากรท่องเที่ยวในท้องถิ่นของตน เมื่อแหล่งท่องเที่ยวถูกย่ำยีก็ไม่มีผู้ใดอ้างตัวรับผิดชอบ
ความหมายของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อชุมชน
เมื่อรัฐธรรมนูญพ.ศ.๒๕๔๐ กำหนดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายในการบริหาร จัดการทรัพยากรต่างๆในท้องถิ่นของตน ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมของชาติด้วยความชอบธรรม จึงเปิดโอกาสให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ได้แก่ อบต. และอบจ. เข้ามีส่วนร่วมในส่วนแบ่งที่เกิดขึ้นจากธุรกิจท่องเที่ยวในเขตรับผิดชอบของตนอย่างกว้างขวาง
ปรัชญาและปณิธานของกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน
กระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นที่มาของการก่อตั้งกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการบริหาร การจัดการทรัพยากรท่องเที่ยวและการแบ่งปันผลประโยชน์ในชุมชนต่างๆทุกภูมิภาค ทั้งในประเทศไทย ในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายและทำความเข้าใจกับการกระบวนการอนุรักษ์ ส่งเสริมและพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มีความยั่งยืน โดยกระบวนการสำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ และวิจัยวิถีชีวิต ภูมิปัญญา การทำเกษตรกรรมแบบผสมผสาน รวมถึงการอธิบายสภาพปัญหาและความเป็นไปต่างๆที่เกิดขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนต่างๆทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม ทั้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณี รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ แม่น้ำ ทะเล ภูเขา ถ้ำ-ผา ป่าไม้ โบราณสถาน สวนเกษตร สวนสัตว์ อุทยานแนวคิด โฮม สเตย์ ฯลฯ
นอกจากนี้กลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนยังพยายามที่จะเผยแพร่แนวความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศรูปแบบต่างๆ อาทิ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวผจญภัย การไต่หน้าผา การดูนก และการท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติรวมถึงปลูกฝังทัศนคติที่ดีต่อการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนในรูปของการออกไปจัดนิทรรศการทางวิชาการในสถานที่ต่างๆ การเสนอบทความ การทำงานวิจัยภาคสนาม การถ่ายทอดเทคนิค ประสบการณ์และกลยุทธ์ต่างๆในด้านการนำเที่ยว อันอาจนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินอาชีพมัคคุเทศก์ ไม่ว่าสมาชิกจะศึกษาในสาขาวิชาใดก็ตาม การทำกิจกรรมต่างๆดังกล่าวข้างต้น นอกจากจะส่งผลดีต่อชุมชนเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงของกลุ่มและมหาวิทยาลัยให้ยั่งยืนต่อไปด้วย
ชุมชนคืออะไร
ชุมชนหมายถึงกลุ่มชนซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันเป็นเวลานาน มีความสัมพันธ์กันทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม เป็นเจ้าของทรัพยากรและมีการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ร่วมกัน
การอธิบายถึงชุมชน ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจองค์ประกอบและปัญหาของชุมชนต่าง ๆให้แจ่มชัด พื้นฐานวัฒนธรรมของชุมชน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆคือ ความสามารถในการยังชีพ ขนาดของการพึ่งพาธรรมชาติ ระบบการผลิตเชิงพาณิชย์แบบเข้มข้น ระบบประกอบการขนาดเล็ก การพึ่งพาการรับจ้างทั้งในและนอกภาคการเกษตร ลักษณะการพัฒนาของรัฐในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ผลจากการขยายตัวของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่ชุมชน เป็นต้น และจากการศึกษาชุมชนในภาคเหนือเป็นตัวตั้ง อาจกล่าวโดยภาพรวมได้ว่า โดยทั่วไปแล้วชุมชนในประเทศไทยจำแนกได้ ๕ รูปแบบดังนี้
๑.ชุมชนที่ยังมีปัญหาในการยังชีพ เป็นชุมชนซึ่งชาวบ้านมีที่นาน้อย เฉลี่ยครัวเรือนละไม่ถึง 2 ไร่ และผลผลิตข้าวต่อไร่ต่ำ ทำให้ชาวบ้านต้องพึ่งป่าธรรมชาติเพื่อตัดไม้หารายได้ หาอาหาร และทำข้าวไร่
๒.ชุมชนที่พึ่งพาการซื้อข้าวบริโภค ชาวบ้านส่วนหนึ่งยังปลูกข้าวไม่พอบริโภคไม่มีระบบเหมืองฝายและมักมีปัญหาฝนแล้ง ที่นาส่วนใหญ่เป็นของเป็นของนายทุน ชาวบ้านอยู่ได้ด้วยการบุกเบิกทำไร่ ปลูกพืชเพื่อการค้าที่ใช้ทุนสูง เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง มะเขือเทศ ขิง และถั่วแขก ทำให้ต้องเลือกทำสัญญาขายผูกพันล่วงหน้า เพราะพ่อค้าเป็นผู้ออกทุนบางส่วนให้ทำเกษตรกรรม
๓.ชุมชนที่ขายข้าวและรับจ้าง มีอาชีพทำนาเป็นหลัก ปลูกพืชไร่เล็กน้อย กลุ่มคนที่มีนามากและปานกลางจะมีข้าวเหลือขาย แต่บางปีชาวบ้านส่วนหนึ่งขาดข้าวเนื่องจากฝนแล้ง ต้องออกไปหางานทำต่างถิ่น เพราะไม่มีทุนปลูกพืชพาณิชย์หรือผลิตพืชผลอย่างอื่น ชาวบ้านหลายคนต้องเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ กลายเป็นปัญหาสังคมที่ชุมชนต้องหันมาสนใจมาก
๔.ชุมชนเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์แบบเข้มข้น ชุมชนมีระบบเหมืองฝายที่ดี ทำให้ปลูกข้าวและถั่วได้ปีละ 3 ครั้ง คนไม่มีที่นาประมาณร้อยละ 40 จะมีรายได้จากการทำนาเช่าและรับจ้างทำการเกษตรในชุมชน ทำให้ออกไปทำงานต่างถิ่นน้อย บางส่วนปลูกพืชที่ใช้ทุนสูง เช่น แตงและขิง
๕.ชุมชนการเกษตรก้าวหน้าที่กำลังเผชิญกับกระแสทุนจากภายนอก ชุมชนกลุ่มนี้สามารถทำนาได้ปีละ 3 ครั้ง มีระบบชลประทานเหมืองฝายดี ปลูกข้าวและพืชพาณิชย์ ไม่พึ่งพาการทำไร่ ชาวบ้านบางส่วนมีรายได้จากสวนลำไยแบบก้าวหน้า ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเข้มข้น และจ้างแรงงานแบบเบ็ดเสร็จ ทำให้มีฐานะดี บางส่วนทำธุรกิจขนาดเล็กนอกภาคเกษตร เช่น โรงงานทำอิฐ บางส่วนค้าขายพืชผลทางการเกษตร แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งไม่มีที่ดิน ต้องเช่าที่นาและรับจ้าง จึงมีฐานะยากจนต้องซื้อข้าวกิน มีหนี้สินจากการลงทุนในการผลิตเพื่อขาย ชาวบ้านที่มีที่นาขนาดเล็กมีฐานะพอมีพอกิน แต่ก็มีหนี้สินมากเพราะต้องเสี่ยงกับการปลูกพืชพาณิชย์แบบเข้มข้น
จากพื้นฐานข้างต้นจะเห็นว่า ชุมชนมีสิ่งที่น่าสนใจหลากหลายไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญา วัฒนธรรมการหากินหาอยู่และวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชน และสิ่งต่างๆที่เป็นตัวตนของชุมชน และชุมชนมอบให้เป็นมรดกทรัพยากรท่องเที่ยวจำแนกได้ดังนี้
ก. การดำเนินธุรกิจต่อเนื่องการเกษตรและธุรกิจนอกภาคนอกการเกษตรของชุมชน ได้แก่
-ผลิตภัณฑ์จากผ้า เช่น การทำผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ ผ้าไหม มัดหมี่ ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง และกระเป๋าผ้าชนิดต่าง ๆ
-ผลิตภัณฑ์ตัดเย็บเสื้อผ้า เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้านและสำนักงาน และเสื้อผ้าเครื่องแบบของพนักงานบริษัทและข้าราชการ
-ผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่และหวาย เช่น ตะกร้า เข่ง กระจาด เสื่อหวาย กระติ๊บข้าว กระด้ง และหัตถกรรมไม้ไผ่อีกมาก
-ผลิตภัณฑ์ดอกไม้ประดิษฐ์ เช่น การทำดอกไม้ ผลไม้ และไม้ประดิษฐ์จากกระดาษชนิดต่าง ๆ
-ผลิตภัณฑ์อาหารและการแปรรูป เช่น ผัก ผลไม้ ที่ปลอดสารเคมี ผลิตภัณฑ์จากผลไม้พร้อมดื่ม หัวเชื้อเครื่องดื่มเข้มข้นไวน์จากผลไม้ชนิดต่าง ๆ (เช่น มะยม มะเฟือง มะขาม สับประรด เป็นต้น) สมุนไพรผง ข้าวสารปลอดสารพิษ และน้ำตาลก้อนปลอดสารเคมี
- ผลิตภัณฑ์วัสดุ เช่น เครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์โลหะ (เช่น มีด เสียม เคียว ขวาน จอบ) ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง ( เช่น อิฐบล็อก อิฐทนไฟ กระเบื้องมุงหลังคา และกรอบประตูหน้าต่างเหล็ก)
ข.กิจกรรมธุรกิจเกษตรผสมผสานของชุมชน จำแนกเป็น
-กิจกรรมลานค้าชุมชน ได้แก่ การจัดหาพื้นที่ให้สมาชิกนำผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจเป็นการเกษตร ต่อเนื่องการเกษตร และนอกการเกษตร สู่ตลาดเพื่อซื้อ – ขายสินค้า ในกรณีนี้ ลูกค้าของลานค้าชุมชนอาจได้แก่เกษตรกร คนชนบท นักท่องเที่ยว คนเมือง และอื่น ๆ ลานค้านี้อาจตั้งในตลาดชนบท ตลาดเมือง สี่แยกที่ชุมนุมการสัญจรโดยปลอดการเสียค่าธรรมเนียม
-กิจกรรมร้านค้าชุมชน ได้แก่ การส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันทำธุรกิจชุมชนด้วยการตั้งร้านค้าเพื่อขายผลิตภัณฑ์ของตน ธุรกิจแนวนี้มักมีความเกี่ยวพันกับกิจกรรมการออมทรัพย์ การระดมหุ้นการระดมทุน การผลิต และการแปรรูป ซึ่งจัดตั้งขึ้นแล้วในหลายจังหวัด
-ศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ ( One – Stop – Service) ตามพระราชดำริที่ว่า ควรมีสถานที่ที่เกษตรกรสามารถแสวงหาข้อมูล คำแนะนำในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์บก สัตว์น้ำ การใช้น้ำ การบำรุงดิน การป้องกันและปราบศัตรูพืช การลงทุน การตลาด การแปรรูปผลผลิต ฯลฯ
ในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนั้น ผลผลิตที่ชุมชนเป็นเจ้าของจะถูกนำออกมานำเสนอในรูปแบบต่างๆให้ศึกษาดังนี้
๑.การจำหน่ายสินค้าเอกลักษณ์ของชุมชน(Product Sales)อาทิ สินค้าหัตถกรรม อาหารประจำถิ่น ทั้งนี้หมายถึง ทรัพยากรการท่องเที่ยวอื่นๆ ของชุมชนนั้นด้วยเช่นผลไม้ตามฤดูกาล เป็นต้น
๒.กิจกรรมการแสดงทางวัฒนธรรม(Cultural Shows) เช่น การฟ้อนรำ การละเล่นพื้นบ้านและ การแสดงดนตรีเฉพาะชุมชนเป็นต้น
๓.กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงหมู่บ้าน (Village Based Activities) หมายถึงกิจกรรมทางการท่องเที่ยว อาทิ การจัดกิจกรรมเดินป่าชมธรรมชาติในบริเวณหมู่บ้านหรือบริเวณใกล้เคียงพร้อมมัคคุเทศก์นำทางโดยคิดค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยว
๔.กิจกรรมพักค้างแรมในหมู่บ้าน สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในชุมขน กิจกรรมการพักแรมในหมู่บ้านมีหลายรูปแบบ ได้แก่
1.1 การจัดแคมป์ (Camping)
1.2 การกิจกรรมที่พักแรม Homestay
1.3 การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักแรมในหมู่บ้าน(Operated Accommodation เป็นต้น
สถานภาพของสมาชิกกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนบนเวทีกิจกรรมมธบ.
เมื่อเรารู้จักชุมชนกันแล้ว ทีนี้ก็ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองดูว่าWho are we? เราเป็นใคร
คำตอบก็คือ เราเป็นทั้งนักท่องเที่ยว นักจัดรายการนำเที่ยว นักธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ นักค้นคว้า นักวิจัยด้านการท่องเที่ยว นักสำรวจแหล่งท่องเที่ยว นักวิชาการวัฒนธรรมและนักประชาสัมพันธ์ แต่กิจกรรมที่เราจะเน้นคือการติดตามความเป็นไป ทิศทาง และแนวโน้ม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิตและวัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยวที่มีชุมชนต่างๆเข้ามาดูแลรับผิดชอบดำเนินการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ด้วยความตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรท่องเที่ยว ด้วยความรู้สึกหวงแหนที่มีต่อสมบัติมรดกทรัพยากรท่องเที่ยว ซึ่งเราในฐานะที่เป็นสมาชิกกลุ่มท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชนทุกคนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ ในฐานะประชาชนไทยและในฐานะของสมาชิกประชาคมโลก
เมื่อเราออกทำกิจกรรมสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยว ผลที่เราจะได้รับคือความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โบราณคดีและภูมิปัญญาท้องถิ่นในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆอันจะทำให้เรามีความสุข เพราะการทำกิจกรรมของเราคือการท่องเที่ยว การค้นคว้า สำรวจ วิจัย และศึกษาแบบแผนการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมรูปแบบต่างๆของชุมชน เสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติและวิถีชิวิตชุมชนอันหลากหลาย จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนทำกิจกรรมอย่างพวกเรา ตระหนักถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของทรัพยากรท่องเที่ยวของเรา ของภูมิภาคและของโลกอย่างลึกซึ้ง
ประโยชน์ของการทำกิจกรรมจะทำให้เรารู้จักการเสนอความคิดเห็น รู้จักสังเกตจดจำ รู้จักแก้ปัญหา และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น อันเป็นคุณธรรมสำคัญของการผนึกกำลังเป็นหมู่คณะในสภาพแวดล้อมจริง
กิจกรรมปีการศึกษา๒๕๔๕
๑)โครงการเปิดโลกกิจกรรม(๙-๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕)
๒)โครงการปฐมนิเทศสมาชิกชมรม วันที่๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๕
๒)โครงการท่องเที่ยวเพื่อศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อชุมชนที่เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาและปริมณฑล เป็นกิจกรรมลำดับต่อมา โดยจะมีการออกเดินทางสำรวจ ศึกษาและเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชุมชนภาคกลาง ซึ่งนำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูป เพิ่มมูลค่าของสินค้า รวมถึงการล่องเรือ ศึกษาสภาพชีวิตของชาวเมืองพระนครศรีอยุธยาที่พึ่งพาสายน้ำเจ้าพระยาเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต สืบมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งหลังการเดินทางจะมีการจัดทำรายงานการสำรวจศึกษา ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาต่อไป และเนื่องจากสมาชิกกลุ่มของเรามีจำนวนมากจึงอาจจำเป็นต้องจำกัดที่นั่งในการเดินทาง และอาจจำเป็นต้องผลัดกันไปในรอบต่อๆไปอย่างเท่าเทียมกันสำหรับสมาชิกที่พลาดโอกาสในครั้งนี้โดยกรรมการกลุ่มฯคงจะประกาศให้ทราบภายหลัง
๓)โครงการจัดสัมมนาทางวิชาการเรื่องอาหารไทยกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน เรื่องอาหารไทยกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสำคัญมาก ปัจจุบันร้านอาหารไทยกระจายออกไปสร้างรายได้ทั่วโลกและยังมีแนวทางในการประกอบอาชีพได้อย่างสดใสอีกนาน ซึ่งหากเป็นไปได้วันนั้นเราอาจมีอาหารไทย ขนมไทยมาให้ชิมกัน สำหรับวัน เวลาและวิทยากรที่จะมาให้ความรู้นั้น กำลังติดต่อดำเนินการอยู่และจะประกาศให้ทราบภายหลัง ขอให้สมาชิกเข้าร่วมสัมมนาโดยพร้อมเพรียงกัน
๔)โครงการงานวิจัยภาคสนามเพื่อสำรวจ ศึกษาและวิเคราะห์ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวด้านต่างๆที่ชุมชนเป็นผู้บริหารและจัดการในช่วงปิดภาคฤดูร้อนปีการศึกษา๒๕๔๕ โครงการนี้จะมีการขอทุนวิจัยและสมาชิกสามารถผลัดกันเข้ามาร่วมเก็บข้อมูลในงานวิจัยนี้ได้เช่นกัน จะแจ้งขั้นตอนให้ทราบต่อไปเช่นกัน
สรุป
ผลที่เราจะได้รับจากการเป็นสมาชิกคือ ประสบการณ์ในการร่วมทำกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยการเสนอความคิดเห็น การถกเถียงด้วยเหตุผล การติดต่อกับบุคคลและองค์กร การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงความประทับใจที่เกิดขึ้นเมื่อเราสามารถผลิตผลงานออกมา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสามารถก้าวออกไปสู่โลกภายนอกอย่างรู้เท่าทัน และมีความมั่นใจในการต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทุกองค์กร