จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

โครงการบริจาคหนังสือให้ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน ตลาดนางเลิ้ง

โดยพิทยะ ศรีวัฒนสาร

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2554 เวลาประมาณ 10.30 น.ชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ได้จัดกิจกรรมบริจาคหนังสือมือสองให้แก่ห้องอ่านหนังสือชุมชนของกรุงเทพมหานคร ณ ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแคนางเลิ้ง) ในพื้นที่เขตป้อมปราบศัตูพ่าย ชุมชนดังกล่าวจัดอยู่ในชุมชนแออัดที่มีความเข้มแข็งในเรื่องการสร้างสรรค์พลังพลเมืองรักษ์บ้านเกิด ซึ่งพยายามต่อสู้เรียกร้องพื้นที่การแสดงออกทางวัฒนธรรม จนสามารถยับยั้งการรื้อโรงภาพยนตร์เฉลิมธานีได้เป็นผลสำเร็จ และพยามยามฝึกฝนให้เยาวชนให้รับการถ่ายทอดความรู้ทางด้านนาฏศิลป์(รำซัดชาตรี) ซึ่งเคยมีชื่อเสียงมานานในชุมชนแห่งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475



คุณสุวัน แววพลอยงาม ประธานคณะกรรมการชุมชนคนที่ 2 เป็นผู้รับมอบหนังสือจาก อาจารย์ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร อาจารย์ประจำพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เครือข่ายของชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน มธบ. ตัวแทนกิตติมศักดิ์ของชมรมฯ เป็นมอบหนังสือดังกล่าว โดยมีกรรมการชุมชนและเยาวชนในชุมชนเป็นสักขีพยาน




เด็กหญิงน้ำมนต์ กำลังสาธิตท่ารำซัดชาตรีที่บ้านไม้ในชุมชนซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากเพื่อนบ้านด้วยความภาคภูมิใจ บ้านหลังเล็กๆดังกล่าวถูกปรับปรุงเป็นศูนย์กลางด้านการฝึกฝนทางศิลปะและวัฒนธรรมของเยาวชน เพื่อมิให้พวกเขาตกเป็นทาสยาเสพติด เมื่อเยาวชนเข้ามาร่วมกิจกรรม ก็จะมีขนมและอาหารกลางวันรับประทาน และยังได้การอบรมและปลูกฝังกิริยามารยาทในสังคมอีกหลายอย่างทำให้เด็กๆเหล่านี้ สามารถพูดจาโต้ตอบกับผู้เข้าไปเยือนอย่างเฉลียวฉลาดและไพเราะเพราะพริ้ง


ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน เป็นชุมชน1ใน3ของชุมชนตลาดนางเลิ้ง ซึ่งมีความเข้มแข็งในด้านการจัดการทรัพยากรมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน จนสามารถพัฒนาให้ชุมชนดังกล่าวกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงชุมชน เชื่อมโยงกับตลาดนางเลิ้ง โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดโลกกิจกรรม 2554 มธบ. วันที่ 15-17 มิถุนายน 2554

รายงานโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร

ระหว่างวันที่15-17 มิถุนายน 2554 ฝ่ายกิจการนักศึกษา โดยสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ชมรมและกรรมการคณะวิชาต่างในมหาวิทยาลัยได้ร่วมกันจัดงานเปิดโลกกิจกรรม เพื่อให้นักศึกษาทุกชั้นปีมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในชมรมต่างๆ ตามความสนใจ ในโอกาสนี้ชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย


นางเสือดาวเพศที่3


ใต้อาคาร 7 และซุ้มรับสมัครสมาชิกชมรม


การทำกิจกรรมPRผลิตภัณฑ์ของตัวแทนธุรกิจเอกชน

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Thailand Tourism Festival 2011, June 7-12.เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร


ระหว่าง 8-12 มิถุนายน 2554 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดงานเทศกาลท่องเที่ยว "Thailand Tourism Festival" ที่เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ และที่มุมหนึ่งของงานได้นำเสนอพัฒนาการของแนวคิดในแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่ละช่วงไว้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาถ่ายทอดให้ทราบเท่าที่จะสามารถทำได้ครับ















วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คณะกรรมการชมรมท่องเที่ยวยั่งยืนเพื่อชุมชน พ.ศ.2553

รายงานโดย
เกษม พุทธา

นางสาว จุราภรณ์ แท่นทอง (บริหาร)
นาย เกษม พุทธา (วิศวะ)
นางสาว ทิมาพร ชื่นสงวน (ศิลปศาสตร์)
นางสาว พัชรินทร์ ปะละสี (ศิลปศาสตร์)
นาย รัชกิจ วิทยานนท์ (ศิลปศาสตร์)
นางสาว อริศรา มูลแสดง (การบัญชี)
นางสาว สุปรียา พวงมาลี (การบัญชี)
นางสาว สุจิน ชุ่มเย็น (การบัญชี)
นางสาว สารีย์ นามะหึงษ์ (วิศวะ)

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ไทยเที่ยวไทย : ชวนเที่ยวชมบ้านไทยประยุกต์สวยๆที่โรงแรมโกลเดน โกลด์ รีสอร์ท

รายงานโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร


ระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม 2554 ผู้เขียนในฐานะเป็นสมาชิกครอบครัวของบุคลากรของพนักงานราชการสถาบันพระปกเกล้าได้ร่วมเดินทางไปทัศนศึกษาและพัฒนาบุคลากรของสถาบันพระปกเกล้าที่อ.ปากช่อง จ. นครราชสีมา โดยได้เข้าพักที่โรงแรมโกลเดนโกลด์รีสอร์ท ปากช่อง จึงถือโอกาสบันทึกภาพบ้านไทยประยุกต์หลายแบบทั้งบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้และบ้านไม้ล้วนมาอวดโฉม เพื่อว่าอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้บางท่านคิดอ่านสร้างสรรค์บ้านของตนขึ้นมาอวดสายตากันบ้าง


ภาพที่ปรากฏขอให้ถือว่า เป็นการสนับสนุนให้พวกเราคนไทยมาช่วยกันเที่ยวภายในประเทศไทยให้มากๆ เพื่ออุดหนุนผู้ประกอบการที่พักแบบรีสอร์ทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกันนะครับ









































วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

รายงานด่วน พิธีลงนามบันทึกความร่วมมือในกระบวนการสร้างความเป็นพลเมืองระหว่างสถาบันพระปกเกล้ากับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 12 เมยายน 2554

รายงานโดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในกระบวนการสร้างความเป็นพลเมืองระหว่างสถาบันพระปกเกล้ากับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ อังคาร 12 เมษายน 2554
หัวข้อ “ความเป็นมาของโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาความเป็นพลเมือง” โดย ผศ. ดร. ธานี วรภัทร์ รักษาการ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายกิจการนักศึกษา มธบ. อ.ฐิติ ลาภอนันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษา มธบ. และ อ.ศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผอ.สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง ดร.ธานี บทบาทในการพัฒนาความเป็นพลเมืองนี้สำคัญ ลึกซึ้งมาก เรื่องปชต. สำนึกพลเมือง ถูกสร้างสมมาตั้งแต่สมัยอ.ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ซึ่งท่านเคยสมัครสส. เคยทำงานการเมืองร่วมกับอ.ปรีดีพนมยงค์ อ.ไสว ให้ยนิยาม พลเมืองว่า กำลังของเมือง เมืองจะดี อยู่ที่การปลูกฝังเรื่องการศึกษาที่มหาวิทยาลัย การร่วมมือกับสถาบันพระปกเกล้าเป้นแนวทางที่ถุกต้อง อ.ปรีดี พนมยงค์ สร้าง ม.ธรรมศาสตร์ แนวคิดของอ.ปรีดีต้องการสร้างพลเมืองด้านการศึกษา

การเลือกตั้งมีความสำคัญต่อประเทศ ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดการแตกแยก มีนัยสำคัญ รัฐประกอบด้วย ประชากร ดินแดน และอำนาจอธิปไตย ทำไมคนไทยคิดไม่เหมือนกัน เราสร้างพลเมืองอย่างไร มหาวิทยาลัย เป็นแหล่งซักซ้อมความเป็นพลเมือง ประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่เลวน้อยที่สุด มหาวิทยาลัยจะผลิตพลเมืองออกไปให้มีคุณภาพได้อย่างไร

อ.ฐิติ เป็นการแลกเปลี่ยนความร่วมมือ เพื่อก้าวไปข้างหน้า สถาบันพระปกเกล้ามีแนวคิดในการเมืองภาคพลเมืองอย่างไร

อ.ศุภณัฐ ก่อนหน้านี้อยู่สำนักสันติวิธี แต่78 ปีที่ผ่านมาเราพัฒนาประชาธิปไตยกันมาอย่างไร ก็แลเห็นอยู่ ประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน แนวคิดประชาธิปไตย คือ อำนาจเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ในระดับโรงเรียนมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน

ประชาชน พลเมืองมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างไร เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเป็นพลเมือง แต่สามารถสร้างความเป็นพลเมืองได้ มนุษย์สนใจเรื่องใดมากเกินไปก็อาจเห็นแก่ตัวได้ แต่ตัวอย่างที่เห็นในประเทศญี่ปุ่นขณะเกิดพิบัติภัยซึนามิ ทั้งๆที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ชาวญี่ปุ่นเข้าแถวซื้อของ รับของและไม่มีการลักขโมย แสดงให้เห็นถึงวินัยที่มีการปลูกฝังตั้งแต่วัยเรียนหรือในครอบครัว


เรามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหากทุกคนมีจิตสำนึก มีเหตุผล รู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ บางคนเขาห้ามเดินลัดสนามกลับใช้วิธีวิ่งข้ามสนาม มนุษย์ส่วนใหญ่จะมีจิตสำนึกอยู่ในตัวเอง 10ส่วน ขณะที่มีจิตใต้สำนึก90ส่วนมาตั้งแต่เกิด จิตใต้สำนึกจะถูกสะสมมาเรื่อยโดยไม่รู้ตัว อาจเรียกสันดาน ทั้งสองส่วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาความเป็นพลเมือง บางครั้งเราจำเป็นต้องเอาจิตใต้สำนึกดีๆ มาช่วยแก้ปัญหาในสังคมได้ ก็เกิดประโยชน์ได้ แต่ถ้าเอาจิตใต้สำนึกฝ่ายไม่ดีมาใช้จะเกิดปัญหา

เมื่อพลเมืองเป็นพลังสำคัญของเมือง พลเมืองจะเข้มแข็งแค่ไหนเพียงใด มีจิตสำนึก มีจิตอาสา หรือมีจิตสาธารณะเพียงใดต้องปลุกฝัง และลงมือปฏิบัติ

อ.ธานี การลดความขัดแย้ง ต้องสร้างความมีส่วนร่วม ในส่วนของนักศึกษาก็ให้น.ศ.มีส่วนร่วม ม.ธรรมศาสตร์รู้เรื่องนี้มานาน โดยสร้างกิจกรรมนักศึกษา สคอ.ก็สนับสนุน เราก็มองดู 4-5 ปี มธ.เปิดวิชากิจกรรมจิตอาสาให้หน่วยกิต มธบ.ก็สร้างวิชาจิตอาสาในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป มีการสัมมนาผุ้นำนักศึกษา อธิการบดีก็สนับสนุน เรามีคณะกกต. มีการเลือกตั้งประธานน.ศ. ชมรมต่างๆในมหาวิทยาลัยมีการประชุมกันทุกเดือน


มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชมรมต่างๆ รวมทั้งเน้นการมีวินัยและสุขภาพกาย การยอมรับความแตกต่าง สถาบันพระปกเกล้าก็เต็มที่กับเรา เปิดบทเรียนไม่ต้องมีหน่วยกิต ในการเรียนรู้ร่วมกัน มีการจัดกิจกรรมให้รู้สึกว่าทุกคนเป็นหุ้นส่วนของสังคม จะมีการทำโพล และประเมินทุกปี สำรวจความพึงพอใจ มีการเข้าร่วมทำกิจกรรมกับชุมชนรอบมหาวิทยาลัยด้วย 4 ปีที่น.ศ.อยู่กับเราน่าจะปลูกฝังอะไรได้มาก

อ.ศุภณัฐ 23-24-25 พค. 2554 จะมีการอบรมที่มธบ. การลงมือปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญ มากกว่าการอบรมในชั้นเรียน

รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวต้อนรับแนวทางการพัฒนานักสึกษาของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์สู่ความเป็นพลเมือง

การสร้างความเป็นพลเมืองแก่น.ศ.ต้องสร้างบุคลิกบางอย่างให้เกิดขึ้น คือ เรื่องของการยอมรับความแตกแตกท่ามกลางความหลากหลาย นักศึกษาต้องมีความรุ้และมีความเป็นพลเมือง ออกไปสร้างสรรค์สังคม ก่อนหน้านี้ ศูนย์สันติวิถี สถาบันพระปกเกล้า เคยมีการลงนามสร้างเครือข่ายลดความขัดแย้งในสถานศึกษากับมหาวิทยาลัยมาแล้วเมื่อเร็วๆนี้

ศ. ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การสร้างความเป็นพลเมือง”

ขอขอบคุณที่ไว้วางใจสถาบัน อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นกรรมการสถาบัน เป็นกก.วิชาการและเป็นกรรมการหลักสูตรของสถาบันฯ ถือเป็นความสัมพันธ์แน่นแฟ้น

ประชาชน เป็นราษฎร= subject รอผู้ปกครองสั่ง ในระบบเผด็จกา ระบอบอุปถัมภ์

พลเมืองcitizen= แตกต่างจากราษฎร

พลเมืองเกิดตั้งแต่กรีก นครรัฐเอเธนส์ มีขนาดเล็ก ประชาชนในนครรัฐต้องทำหน้าที่เป็นพลเมือง คือ Citizen เป้นกำลังของเมือง อริสโตเติลที่ไม่มีส่วนร่วม คือ อมนุษย์ กับเทพ อริสโตเติล บอกมนุษย์แบ่งเป็นสอง ส่วน กาย จิต กายรักษาโรค จิต ทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง เน้นมากกว่าสิทธิ

1789 ในฝรั่งเศสพูดเรื่องหน้าที่ต่อรัฐ

ปัจจุบันเราต้องพูดถึงหน้าที่ที่มีต่ออาเซียน โดยต้องตระหนักถึงเรื่องความร่วมใจ การมีส่วนร่วม คุณธรรมของความเป็นพลเมือง เริ่มจากครอบครัว และสถานศึกษา ในอังกฤษและอเมริกาบังคับเรื่องพลเมืองศึกษาบ้านเราเรียนเรื่องสลน.

วันนี้ ความเป็นพลเมืองขยายความออกไปมาก มีการสร้างประชาธิปไตยชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความเป็นพลเมือง ดุปัญหาชุมชน ถกเถียงแล้วให้ทางราชการนำแผนไปบรรจุ เรียกประชาธิปไตยชุมชน สิ่งที่เราทำวันนี้จะเป็นรากฐานสร้างความเป้นพลเมือง สู่ความเป็นประชิปไตยที่แท้จริง เมื่อพ้นจากราษฎรเป็นพลเมือง ชุมชนจะมีความเข้มแข็ง เราจะไม่เห็นการใช้อามิสรางวัลเล็กๆน้อยๆดึงคนมาชุมนุมอีกต่อไป สำนึกความเป็นพลเมืองจะช่วยคานอำนาจระดับชาติและท้องถิ่น ดุลและคานอำนาจกับอำนาจทุนที่มีพลังมหาศาล และลดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในอนาคต

ขอขอบคุณท่านอธิการบดีที่เห็นความสำคัญดังกล่าว สถาบันพระปกเกล้าหวังจะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านต่อไป

ต่อจากนั้นเป็นพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในกระบวนการสร้างความเป็นพลเมือง โดย ศ.ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผศ. ดร. ธานี วรภัทร์
















วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

ตลาดลาดชะโด แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชีวิตชุมชน อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร เมื่อเวลาประมาณ 15.00น. ของวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2554 ระหว่างเดินทางไปทำรดน้ำชีวภาพต้นไม้ที่สวนในเขต อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้เขียนได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ตลาดลาดชะโด อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ



ตลาดลาดลาดชะโดก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 51 ปี โดยพัฒนามาจากตลาดน้ำที่มีเรือนแพค้าขายกลายเป็นตลาดบกสะท้อนวิถีชีวิตของคนริมคลอง ลักษณะตลาดเป็นเรือนแถวขนาดใหญ่หันหน้าเข้าหากันทางเดินกว้างขวาง ในอดีตเป็นศูนย์กลางการค้าขาย คึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนที่มาทำการค้าขาย ใช้มีการสัญจรเส้นทางทางน้ำเป็นหลัก มีโรงสีข้าวและโรงภาพยนตร์ ที่นี่เป็นแหล่งน้ำที่มีปลาน้ำจืดชุกชุม แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรและผู้คน ตลาดเก่าแก่แห่งนี้ที่ดึงดูดให้สถานที่แห่งนี้ได้ใช้เป็นฉากถ่ายภาพยนตร์และละครย้อนยุคหลายเรื่อง เช่น ดงดอกเหมย รักข้ามคลองและบุญชู และความสุขของกะทิ เป็นต้น และยังเป็นบ้านเกิดของศิลปินนักร้องและนักแต่งเพลงในอดีต คือ ธีรศักดิ์ อัจจิมานนท์ ผู้ขับร้องเพลงกุหลาบสีแดงและลมลวงชุมชนเดิมในตลาดเป็นชุมชนเรือนแพค้าขาย ต่อมาวัดลาดชะโดได้ยอมยกพื้นที่ริมน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ของวัดให้ชุมชนได้ทำมาค้าขาย ช่วงแรกมีการจับฉลากในการให้สิทธิ์พื้นที่ในตลาด ชุมชนค้าขายของชาวเรือนแพจึงได้อพยพจากน้ำขึ้นสู่บก พื้นที่ตลาดเริ่มต้นจากพื้นที่ติดคลองลาดชะโดแล้วขยายเข้าไปสู่ฝั่งเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างใช้ระบบเรือนค้าของผู้ใด ผู้นั้นก็ออกเงินในการก่อสร้างเอง ส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์ อาทิ ท่าขนส่งสินค้า หรือหลังคารวมในตลาด สมาชิกผู้อาศัยในตลาดจะออกเงินเป็นกองกลางในการก่อสร้างตลาดลาดชะโดเคยเป็นตลาดที่คึกคักรุ่งเรืองมาก แต่ระหว่างพ.ศ. 2526 – 2527 ได้มีการถมที่บางส่วนที่เป็นลำคลองเพื่อสร้างเป็นถนนเชื่อมจากทางหลัก ทำให้การคมนาคมทางบกเข้ามา ทำให้ตลาดลาดชะโดซบเซาลง นอกจากนี้ การเปิดตลาดนัดก็ส่งผลกระทบต่อตลาดลาดชะโดจนเรือนค้าในตลาดเริ่มร้างไร้ผู้คน ทำให้หลายคนอพยพออกจากชุมชนตลาดเข้าสู่เมือง (ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.chomthai.com/forum/view.php?qID=1649)










คุณชาญวิทย์ กิตติจตุพร หรือ น้องเอก ศิลปินหนุ่มฝีมือดีจากรั้วเพาะช่าง เจ้าของแกลลอรีงานเขียนภาพวิถีชีวิตไทยกับสายน้ำจำนวนหลายชิ้นที่ตลาดลาดชะโด บางชิ้นถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน ที่ตลาดลาดชะโดและที่บ้านรองนายกฯอบต.ลาดชะโด




ลวดลายช่องลมที่เรือนค้าชายน้ำหน้าตลาดลาดชะโด







วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

Palio : แหล่งท่องเที่ยวแบบอุทยานความคิด(Theme park)แห่งใหม่เชิงเขาใหญ่

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ระหว่างวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2554 ผู้เขียนได้ร่วมเดินทางไปกับโครงการพัฒนาบุคลากรของสถาบันพระปกเกล้า โดยเข้าพักที่โรงแรมโกลเด้นโกลด์เขาใหญ่รีสอร์ทแอนด์สปา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา


หัวข้อทางวิชาการที่บุคลากรของสถาบันเข้าอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทัศนคติเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการและวิชาชีพ ระหว่าง13.30-16.30น. คือ "Career Path: ความก้าวหน้าในอาชีพของพนักงาน" และ "พัฒนาสมรรถนะหลักของสถาบัน: T-DeMOC" หลังจากนั้นครอบครัวของบุคลากรก็ได้รับโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตไปในคราวเดียวกันด้วย


ปาลีโอ(Palio)เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบอุทยานความคิดเชิงเขาใหญ่ที่น่าสนใจ ซึ่งผู้เขียนได้ร่วมเข้าไปเยี่ยมชม สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ จำลองสถาปัตยกรรมและรูปแบบของตลาด ร้านค้า โรงแรม และเมืองมาจากประเทศอิตาลี


ดังนั้น นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความงามโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ประดับในลานกลางเมืองจำลองแห่งนี้ อย่างน่าประทับใจ จนแทบจะไม่อยากจะเดินทางกลับออกมา























วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

รายงานการสัมมนาทางวิชาการ: อาหารไทย ทางรอด ทางเลือกทางการท่องเที่ยว

เผยแพร่โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร


เมื่อปีการศึกษา 2546 ผู้เขียนได้รับเชิญไปสอนวิชาสัมมนาธุรกิจการท่องเที่ยวที่สถาบันราชภัฎพระนคร และมีส่วนผลักดันให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 โปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ แขนงวิชาการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฎพระนคร การสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา 3574904 สัมมนาธุรกิจการท่องเที่ยว ปีการศึกษา 2546 ร่วมกันจัดกิจกรรมการสัมมนาทางวิชาการในหัวข้ออาหารไทย : ทางรอด ทางเลือกทางการท่องเที่ยว ผู้เผยแพร่เห็นว่า น่าจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและแนวทางการประกอบอาชีพของนักศึกษาในแวดวงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรมอยู่ไม่น้อย จึงใคร่ขอนำมาเผยแพร่แก่สาธารณชนต่อไป

วิถีไทย รสชาติไทย : อดีต ปัจจุบัน อนาคต โดย อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์

อาจารย์พิทยะ ศรีวัฒนสาร

กล่าวและแนะนำวิทยากร คือ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ นายวีระชัย กู้ประเสริฐและนางอรุณศรี ศาตรานิติ นำสู่ภาพรวมเกี่ยวกับการสัมมนา จากนั้นได้เชิญอาจารย์ยิ่งศักดิ์ บรรยายเกี่ยวกับเรื่อง“วิถีไทย รสชาติไทย : อดีต ปัจจุบัน อนาคต”

อาจารย์ ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์
เหตุใดจึงต้องกล่าวถึงเรื่องอาหารไทย ส่วนที่สำคัญที่สุดที่จูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองไทย คืออาหารไทยเพราะอาหารไทยเป็นอาหารที่มีรสชาติครบทุกรส ซึ่งไม่เหมือนอาหารรสชาติอื่นๆเป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

เหตุใดจึงต้องนำอาหารไทยมาเป็นตัวชูโรงในการโปรโมทการท่องเที่ยว เนื่องด้วยขณะนี้มีการส่งเสริมให้กุ๊กไทยกระจายไปทั่วโลกมีโครงการที่เรียกว่า TGR ดำเนินการมาตั้งแต่รัฐมนตรีรุ่นก่อนมาจนปัจจุบัน เรื่องนี้ อ.ยิ่งศักดิ์ ก็ไปประชุมประมาณ 7–8 ครั้ง แต่ก็ไม่เห็นแนวทางที่จะเป็นไปได้จริงเนื่องจากแต่ละหน่วยงานมักจะมุ่งเน้นประโยชน์ใส่ตนเองเสียมากกว่า มิได้มองภาพที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

เรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับ อ.ยิ่งศักดิ์ เนื่องจากได้เปิดโรงเรียนสอนทำขนม และอาหารไทยซึ่งเป็นแบบเอกชนมีหลักสูตรที่ผ่านการรองรับจากกระทรวงศึกษาธิการ จากสำนักการศึกษาเอกชน ว่าเป็นโรงเรียนนอกระบบหรือ กศน. ทางโรงเรียนสามารถทำให้คนว่างงานมีอาชีพเป็นของตนเองไม่ต้องว่างงานอีกต่อไป ถึงแม้โรงเรียนของ อ.ยิ่งศักดิ์ จะมีมาตาฐานที่ดี มีคุณภาพน่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่จบจากโรงเรียนของ อ.ยิ่งศักดิ์ ก็ไม่สามารถไปทำงานที่ต่างประเทศได้ เพราะไม่ผ่านการสอบจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เนื่องจากมาตรฐานและระบบการสอนไม่เหมือนกัน จึงเป็นอุปสรรคที่ต้องปรับปรุงแก้ไข การทำงานแต่ละส่วนแต่ละองค์กรไม่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งเราต้องหันมาร่วมมือกัน เพราะขณะนี้ในต่างประเทศมีความต้องการซึ่งเรียกว่า Hot Cases

ทราบมาว่าในขณะนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารเพื่อเอามาตรฐานไปทำงานต่างประเทศ เป็นข้อสงสัยว่าการให้การศึกษาของประชาชนจะอยู่ที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือว่าจะอยู่ที่กระทรวงการส่งเสริมการส่งออก หรือจะไปอยู่ที่กระทรวงการเกษตร หรือจะไปอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการกันแน่ แต่ความจริงแล้วหน้าที่การให้การศึกษาต้องอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการเพราะกระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่สอน มีบุคลากร มีอุปกรณ์ มีทุกอย่างพร้อมมาตรฐานการศึกษาของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะอยู่ที่ไนก็ได้แต่กระทรวงศึกษาต้องรับรอง

สำหรับกรณีลูกศิษย์ของ อ.ยิ่งศักดิ์ ไม่ค่อยมีปัญหาในการไปทำงานต่างประเทศ เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีญาติพี่น้องหรือมีงานมาติดต่อไปให้ทำงาน เพียงรับวุฒิบัตรก็สามารถที่จะทำงานได้หากขอจากกรมพัฒนาแรงงาน ต้องสอบให้ได้เสียก่อน นอกจากนี้ที่ไม่แนะนำทำ คือ การไปทำงานต่างประเทศ ด้วย visa ท่องเที่ยวเพราะเป็นอันตรายและเสื่อมเสียชื่อเสียงของประเทศชาติ นักเรียนที่โรงเรียน อ.ยิ่งศักดิ์ ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนปริญญาตรีที่ต้องการไปเรียนต่อต่างประเทศได้มาเพื่อรับใบวุฒิบัตรว่าจบหลักสูตรทำอาหาร เพื่อไปทำงาน Part Time เพื่อส่งตนเองเรียนต่อโดยไม่ต้องรบกวนพ่อ แม่ แสดงให้เห็นว่าพ่อครัวหรือกุ๊กในปัจจุบันนั้นจะมีการศึกษา ซึ่งขั้นต่ำจะอยู่ที่ปริญญาตรี เป็นที่ภาคภูมิใจ ในสมัยก่อนนั้นผู้ที่มีการศึกษาน้อยมักจะเป็นกุ๊กและเป็นที่ดูถูกของคนทั่วไป แต่ในปัจจุบันกุ๊กกลับได้รับความนิยมในการประกอบอาชีพมากระดับหนึ่ง เป็นอาชีพที่ทุกคนยอมรับ ความนิยมต่างๆเริ่มเปลี่ยนไป อาหารการกินของบ้านเราก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน

เหตุใดต้องกล่าวถึงเรื่องอาหารการกิน
อาหารไทยเป็นอาหารที่รักสุขภาพ อาหารชาติอื่นๆบนโลกนี้ได้แค่กินอิ่มอาหารของบางประเทศที่รับประทานเข้าไปแล้วมีประโยชน์ แต่ไม่มีสรรพคุณเชิงรักษา อาหารไทยมีองค์ประกอบของเครื่องเทศ เครื่องปรุงสมุนไพร นี่คือข้อได้เปรียบของเราอย่างชัดเจน ในอดีตไม่เคยกล่าวไว้ว่า ตะไคร้ ขิง ข่า มีสรรพคุณเป็นอย่างไรทางการยาทั้งแพทย์แผนไทยหรือหมอตำราไทยมักใช้เครื่องเทศเหล่านี้มาปรุงยาแต่ปิดเป็นความลับ ปัจจุบันได้ค้นพบว่ายาเหล่านั้นมีส่วนผสมของเครื่องเทศที่กล่าวมาแล้วด้วยดังนั้นตำรายาและตำราอาหารก็จะใช้เครื่องปรุงที่เป็นตัวเดียวกันค่อนข้างมากเราจึงจัดอาหารไทยในอดีตมีอายุยืนแต่ในปัจจุบันอายุสั้นลง
การมีสุขภาพดีของเราหมายถึงอะไร

เมื่อเกิดการรับประทานอาหารที่ดีแล้ว สุขภาพดี คือทั้งกาย วาจา ใจ เพราะการมีสุขภาพดีนั้นเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีสุขลักษณะที่ดีทางกาย นอกเหนือการออกกำลังกายด้วยการที่เรามีสุขภาพดีอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีเราต้องเลือกรับประทานอาหารที่ดีด้วยอันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

อ.ยิ่งศักดิ์ คิดอยู่เสมอว่าเมื่อใดหนอประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดจากอาหารเป็นพิษไม่ว่าจะทานอะไร ที่ไหน บนพื้นแผ่นดินไทยอาหารทุกร้านจะปลอดภัย ในปีหน้านั้นจะเป็นปีที่เราเริ่มรณรงค์ให้ครบ 8 ข้อ ของกรมอนามัย ร้านอาหารต้องสะอาดและปลอดภัยและรับแขกบ้านแขกเมืองได้ และทุกร้านต้องมีมาตรฐานอย่างต่ำที่สุดนี้ 5 ข้อปีหน้าให้ครบ 8 ข้อ คาดว่าปีหน้า อ.ยิ่งศักดิ์ จะเดินสายกว่า 70 จังหวัด เพื่อทำงานกับชมรมร้านอาหารแผงลอยทั่วประเทศ จัดอบรมให้พวกเขารู้จักที่จะมีอนามัยที่ดี มีการปรุงอาหารที่ดีขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความจริงว่า ถ้าแผงลอยได้มีการปรับปรุงตนเอง มีการใส่ผ้ากันเปื้อนมีหมวกใส่ มีหน้ากากคลุม บางแห่งสวมถุงมือแล้วหั่นอาหารต่อไปอาจมีป้ายแขวนว่าเป็นแม่ค้าอนามัย เหมือนหมูอนามัยผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีไวรัส A,B ไม่เป็นวัณโรคหรือโรคอะไรร้ายแรงที่ติดต่อทางอาหารที่กำลังปรุง และต้องมีความรู้ทางด้านโภชนาการด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่กรมอนามัยกำลังรณรงค์ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก

แล้วใครที่ถือว่าตนมีเงินคิดจะเปิดร้านอาหารโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เช่น ทำอาหารแล้วทิ้งเศษอาหารใส่ท่อแล้วทำให้ท่อ ตันขายอาหารใส่สารพิษเราควรหาทางป้องกัน ในต่างประเทศใครต้องการเปิดร้านอาหารต้องมีความรู้มีวุฒิบัตรว่าผ่านการอบรมจากกรมอนามัย ถึงจะมีใบอนุญาตเปิดร้านอาหารได้ แต่ในเมืองไทยจะเปิดเมื่อไรก็ได้ถือเป็นอิสระ ถึงแม้จะไม่มีความรู้ทางด้านการทำอาหารคิดจะเอากำไรอย่างเดียว ดังนั้นกรมอนามัยหรือกองอำนวยการทางด้านสาธารณสุขจึงต้องทำงานโดยการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งพบได้บ่อยๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้

ลักษณะพิเศษของอาหารไทย

ทำไมเราต้องสนใจอาหารไทย และคนทั้งโลกต้องสนใจอาหารไทยนอกจากอาหารไทยจะมีคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นอย่างครบถ้วนแล้ว อาจจะครบในหนึ่งมื้อหรือหนึ่งจานด้วยซ้ำไป แต่อาหารต่างชาติจะมีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบทุกอย่างถึงแม้จะพยายามทำให้ครบ อาหารไทยเราเพียงรับประทานข้าวก็มีคาร์โบไฮเดรตหรือรับประทานเนื้อ เช่น ปลา กุ้ง เป็นสัตว์ที่อยู่ในแม่น้ำลำคลอง ซึ่งมีโปรตีนที่ปลอดภัยยังเป็นอาหารที่เกิดจากธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูทางวิชาการหรือวิทยาศาสตร์การเกษตรที่ให้สารเร่ง แต่อาหารไทยที่เกิดจากธรรมชาติส่วนใหญ่ เช่น ปลาดุกอุย ปลาช่อนนา กบ เขียด ตั๊กแตน การซื้อหนังสือของกรมการแพทย์แผนไทยมาอ่าน จะพบว่ามีสมุนไพรเป็นส่วนผสมมากมายซึ่งอาหารในชาติอื่นๆจะไม่ใส่สิ่งเหล่านี้มากเท่าเราสะท้อนให้เห็นมิติทางภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น นี่แหละที่เป็นสิ่งที่ดึงออกมาหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP บางแห่งมี OTOP เป็นเค้กกล้วยหอม ข้าวตังทอดหน้าพิซซ่า ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลก สินค้าบางชนิดทำได้ 2 วันก็เน่าเสียแล้วจะเป็นหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ได้อย่างไร สรุปแล้วจะกลายเป็นขี่ช้างจับตั๊กแตน ลงทุนมากมายขายห่อละ 5 บาท ยังขาดอีกหลายๆ จุดในส่วนของ OTOP

วิธีการประกอบอาหารไทยที่ไม่ซับซ้อน ควรมีวัฒนธรรมในการปรุงอย่างที่เราดูในวิดีโอในการทำข้าวแช่ซึ่งดูงดงามมาก อ.ยิ่งศักดิ์มองดูด้วยความซาบซึ้งมาก แต่คงทำอะไรขนาดนั้นไม่ได้ จึงขอปลีกเส้นทางมาทำอาหารไทยอีกแบบก็แล้วกัน

การสร้างกระแสนิยมของอาหารไทย เหตุใดเราจึงต้องสร้างกระแสนิยมของอาหารไทย ก็เพราะในปัจจุบันเด็กวัยรุ่นพอตื่นเช้ามาก็กินโยเกิร์ต แซนด์วิซ พอสายหน่อยทานแฮมเบอร์เกอร์หรือกลางดึกไม่มีอะไรจะกินก็ฉีกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชงน้ำร้อนรับประทาน ตามหลักโภชนาการห้ามรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำมาก ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆถึงจะได้สารอาหารครบ

เราต้องช่วยกันสืบสานภูมิปัญญา เพราะถ้าเราไม่เน้นอาหารไทยความงามของวัฒนธรรมอาหารไทยก็จะหายหมด ถ้ามัวแต่กินตามอาหารฝรั่ง อาหารฝรั่งก็จะครอบงำ แล้วเราก็จะไม่ใส่ใจกับอาหารไทย เราต้องปลุกจิตสำนึกให้หันมาทานอาหารไทยให้มากๆขึ้น ทำอาหารไทยให้ดูทันสมัยอาจจะใช้ชื่อเป็นฝรั่งแต่รสชาติยังคงความเป็นไทย คือทำอาหารไทยมีความละเมียดละไมและมีรสนิยมเป็นไทยยกระดับ เวลาทานอาหารไทยให้นึกถึง รุ่นคุณพ่อ คุณแม่ คุณตา คุณยาย แล้วเราจะใช้เครื่องปรุงแบบในอดีต อุปกรณ์ในอดีตเราก็ไม่เสียเปรียบดุลทางการค้า พืชผักที่จะสูญพันธุ์ก็จะกลับมารื้อฟื้นขึ้นใหม่

เกษตรกรปลูกผักพื้นบ้านไทยมากขึ้น ตามหลักการเพียงเรากลับมาให้ความสนใจพืชผักไทยมากขึ้น ก็มีโอกาสช่วยกันอนุรักษ์พืชผักท้องถิ่น โดยปริยาย อย่างเช่นเรานิยมทานดอกกระเจียว ดอกดิน ก็จะทำให้ดอกดินเป็นทรัพย์ในดินโดยบัดดล พวกชาวบ้านก็จะไปตัดดอกดินที่โผล่ขึ้นมาไปขายทำให้มีรายได้ อ.ยิ่งศักดิ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะทำให้ทรัพย์ในดินเป็นทองขึ้นมาได้

เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องของนักวิชาการที่ทราบกันหากเราหันมาทานนั่นทานโน่นก็จะมีการปลูกพืชหมุนเวียนกันไปตามธรรมชาติทำให้เกิดความหลากหลาย ดีกว่าเรามานั่งถางไร่ ปลูกพืชแล้วทำโรงเรือนพลาสติกมาครอบ นำไอน้ำมาฉีดและปลูกผักไฮโดรเจนแทนที่จะปลูกในดินทำให้ดินของเราอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกลายเป็นว่ามาปลูกในรางกลายเป็นวิทยาศาสตร์

การสร้างความสมดุลในระบบนิเวศ เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับว่าการตัดวงจรของอะไรก็ตามโดยเฉพาะ GMOs ตอนนี้กำลังน่าเป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกินเรื่องมะละกอ GMOs จะทำให้ไม่มีมะละกอมาตำส้มตำ มะละกอฮาวายได้สูญพันธุ์ไปแล้วเพราะการกระทำ GMOs เป็นที่กังวลว่าหากมีลมพัดละอองในมะละกอ GMOs ปลิวมาใส่มะละกอพันธุ์เดิม ก็จะทำให้พันธุ์นั้นสูญพันธุ์ไปด้วย และติดเชื้อด้วย น่ากังวลเพราะส้มตำไทยกำลังไปทั่วโลก

ความสำคัญของการท่องเที่ยว

ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัจจุบันนำเงินตราเข้าประเทศเป็นแสนล้านบาทและถ้าการท่องเที่ยว BOOM จริงก็จะเป็นรายได้อันดับแรกๆ ของประเทศไม่ใช่เพียงจะเที่ยวในประเทศ
ทางด้านเศรษฐกิจ เราดูว่าการท่องเที่ยวให้อะไรกับเราบ้าง การท่องเที่ยวทำรายได้ให้เราได้มากมาย
๐ การท่องเที่ยวเสริมสร้างเสถียรภาพและดุลภาพของการชำระเงิน
๐ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการจ้างงาน
๐ การท่องเที่ยวไม่ขีดจำกัด ในการผลิตและการจำหน่ายไม่ว่าจะมากี่แสน กี่ล้านคนสามารถรับได้ หมดไม่ได้จำกัดว่าต้องมาเท่านั้นเท่านี้คน

ทางด้านสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมถ้าหากบอกว่าประเทศเราปิดไม่ให้ใครมาเที่ยวบ้านเราวัฒนธรรมงดงามไม่อยากให้ใครมาปนเปื้อนบ้านเราก็จะผิดธรรมชาติการเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีการเดินทางหรือสัญจรทางการท่องเที่ยว เมื่อเราส่งเสริมให้เข้ามาเที่ยวบ้านเรา เราก็มีการไปเที่ยวบ้านเขาเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม และมนุษยสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอยู่แล้ว

การสนับสนุนฟื้นฟูอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมการฟื้นฟูนั้นเพียงเราบอกว่า ประเทศไทยจะมีการฟืนฟูขนบธรรมเนียมประเพณีพระราชพิธีโล้ชิงช้าในแบบโบราณแท้จริง ที่บริเวณเสาชิงช้าเพียงแค่ดำริที่จะมีการฟื้นฟูก็ทำให้มีการท่องเที่ยวแล้ว และมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถขายผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นเอง คนไทยไม่มีนิสัยค้าขาย ดังนั้นทางรัฐบาลมุ่งให้มีการทำหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ต้องมุ่งส่งเสริมการขายด้วย

ฟื้นฟูประเพณีต่างๆให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น แต่ยังคงรักษาจุดมุ่งหมายเดิมไว้ คงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำหน้าที่ตรงนี้

ด้านสุขอนามัยรวมทั้งสุขภาพจิต การที่มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวมีส่วนทำให้เกิดความพึงพอใจและสุขภาพจิตดีขึ้นคนที่จะท่องเที่ยวจะต้องมีเวลา มิใช่เช้าไป เย็นกลับไม่ถือเป็นการท่องเที่ยว ถ้ามีการค้างอ้างแรม 2 – 3 วันจะทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้น

อุปสรรคของการท่องเที่ยวในประเทศไทยบางครั้งก็แพงเกินไป เช่นค่าเครื่องบินไปภาคใต้ซึ่งราคาพอๆ กับไปสิงคโปร์รวมถึงอาหารการกินของบางจังหวัดแพงเกินสมควร

สรุปอาหารไทยมีครบทุกรส เป็นที่ติดใจของนักท่องเที่ยว ขณะนี้กำลังส่งเสริมให้มีอาหารไทยกระจายตัวไปทั่วโลก

อาหารการกินของไทยเปลี่ยนไป
1. ภูมิปัญญาไทย อาหารไทย อาหารสุขภาพคนไทยทุกคนหันมาดูแลในการรักษาสุขภาพให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หมายถึงการมีสุขภาวะที่ดีทั้งทางกาย ทางจิตทางสังคมและทางปัญญา อาหารเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีทางกาย นอกเหนือจากการออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนให้เพียงพอ
2. คุณลักษณะพิเศษของอาหารไทยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วนให้สรรพคุณทางยาและยาสมุนไพรสะท้อนถึงมิติทางภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น
3. การพัฒนาอาหารไทยให้ได้มาตรฐานสากลต้องถูกหลักโภชนาการ ควรพัฒนาอาหารไทยให้มีความหลากหลายใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นมีวิธีการประกอบอาหารไม่ซับซ้อน
4. การสร้างกระแสนิยมอาหารไทยเป็นการช่วยสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของท้องถิ่นพืชผักพื้นบ้านได้รับความนิยมมากขึ้น
5. เกษตรกรปลูกพืชผักพื้นบ้านไทยมากขึ้นช่วยอนุรักษ์พันธุ์พืชของท้องถิ่นเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพสร้างความสมดุล ให้แก่ระบบนิเวศ ทำชุมชนพึ่งตนเองได้ในด้านอาหารมากขึ้น
6. ความสำคัญของการท่องเที่ยวอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สามารถนำเงินตราเข้าประเทศได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันมาทุกปี

อาจารย์พิทยะ ศรีวัฒนสาร
สิ่งที่นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย สิ่งที่เขาปรารถนานั้นนอกจากความประทับใจและศิลปวัฒนธรรมแล้วอีกสิ่งที่เขาต้องการก็คือ การได้ลองลิ้มชิมรสอาหารไทย อ.ยิ่งศักดิ์ ได้แจ้งให้พวกเราทราบว่า ชาวต่างชาตินิยมอาหารไทยเพราะอาหารไทยมีหลายรสชาติ มีประมาณ 9 รสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด และอื่นๆ อีก ชี้ให้เห็นว่าพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งรัฐบาลนำออกมาเป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษแห่งการสืบสานวัฒนธรรมตั้งแต่ปี 2540 – 2550 เริ่มมีการเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปณิธานที่จะร่วมส่งเสริมให้วัฒนธรรมไทยเป็นสมบัติวัฒนธรรมของนานาชาติ เราจึงมีการผลักดันให้อาหารไทยเป็นอาหารของนานาชาติ ซึ่งก็ตรงกับภารกิจของ อ.ยิ่งศักดิ์ที่ได้กระทำมาเป็นเวลานาน นั่นก็คือการตั้งสถาบันการอาหารขึ้นมา อบรมและสอนบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งในอดีตก็มีบริษัทหรือร้านอาหารในต่างประเทศที่ต้องการแม่ครัว ส่งคนมาให้ท่านดูและช่วยสั่งสอนในการฝึกฝนการเป็นพ่อครัว

อาหารไทยที่ อ.ยิ่งศักดิ์กล่าวไว้ ก็คือ อาหารสุขภาพ เพราะมีส่วนผสมของสมุนไพรและที่สำคัญก็คืออาหารของต่างประเทศนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่ไม่ผสมผสานกลมกลืนเท่ากับอาหารไทยในอดีตเมื่อสักประมาณ 400 – 500 ปีที่แล้ว ชาวต่างชาติได้เข้ามาเพื่อที่จะมาเอามาขนเครื่องเทศกลับไปเป็นส่วนผสมในอาหารหรือใช้ประกอบอาหาร และที่สำคัญที่สุด คือ สิ่งหนึ่งที่มาผสมผสานในวัฒนธรรมของเราก็คือ อาหารของวาน คาวหวานต่างๆส่วนหนึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ เช่น พวกบรรดาเหล่าทองทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง หม้อแกง ซึ่ง อ.ยิ่งศักดิ์ มีประสบการณ์ทางด้านการทำ แล้วช่วยทางครอบครัวทำเป็นช่างอาหารซึ่งคำเรียกเป็นภาษาโบราณที่น่าสนใจด้วยนั้นก็คือ “ช่างอาหาร”

อย่างไรก็ดี เราจะผลักดันให้อาหารไทยเป็นอาหารโลกและให้พ่อครัวไทยไปทำงานเมืองนอกและมีร้านอาหารที่มีเจ้าของเป็นคนไทย จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ อะไรจะเป็นสิ่งที่วัดมาตรฐานพ่อครัวและร้านอาหารในอนาคตได้อย่างไร มาฟัง ท่าน ผอ. วีระชัย อธิบายให้ทราบถึงแนวคิดเหล่านี้กัน

บริษัทพันธมิตรอาหารไทย : ครัวไทยระดับโลก รูปธรรมหรือมายา โดย นาย วีระชัย กู้ประเสริฐ

จริงๆแล้ว สิ่งที่จะพูด อ.ยิ่งศักดิ์ ได้พูดไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามก็มีบางส่วนที่จะเสริมเพิ่มเติม การสนับสนุนจากภาครัฐเมื่อเราตกลงปลงใจกันว่า ครัวไทย อาหารไทยจะเป็นธงหลักอันหนึ่งที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่เราเรียกว่า”ครัวไทยสู่โลก” หรือประเทศไทยจะเป็นครัวของโลกนั้นเอง
ที่นี้เรามาพูดถึงหัวข้อที่ว่า “มันมายาหรือเปล่า” มีคนคิดว่าเป็นมายาเพียง 2 คน ที่เหลือให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นครัวของโลกได้

ครัวไทย เผอิญผมเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษที่กรุงลอนดอน ถ้าทุกคนติดตามข่าวในคณะของท่านรองนายกฯสมคิด ไปโรมดูโชว์เรื่องครัวไทยอาหารไทยสู่โลก ไปประมาณ 3 วันก็ได้พบกับผู้ประกอบการร้านอาหารไทยเจ้าของภัตตาคารอาหารไทยผู้ประกอบอาหารนำเข้า ทั้งไทยทั้งเทศทั้งได้เยี่ยมชม Oriental City ซึ่งเป็นศูนย์การค้าผัก (Grocery) ทางด้านเจ้าของที่เป็นชาวต่างชาติ ทราบไหมว่าในนั้นเป็นของไทยเกิน 50% น่าภูมิใจมากร้านอาหารไทยในทั่วโลกขณะนี้จากการสำรวจ 1500 ร้านอาหาร เป็นของไทยแท้ๆ เพียง 20-30% เท่านั้น ดังนั้นท่านทั้งหลายทั้งหมดในที่นี้เมื่อจบการศึกษาแล้วต้องการเป็นเจ้าของร้านอาหาร มีโอกาสความเป็นไปได้มาก หากท่านสนใจ ทางรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือและการสนับสนุนเต็มที่เพราะอยากให้สัดส่วนของเจ้าของที่คนไทยเพิ่มมากขึ้น ส่วนเจ้าของที่เป็นชาวต่างชาติประเทศไทยก็ไม่ปิดกั้น เพราะพวกที่เขาชื่นชมในอาหารไทยมาก ซึ่งทำให้เราสามารถส่งออกวัตถุดิบต่างๆ จากการสำรวจของวิทยากร North Western Ken lox Business School อาหารไทยอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก

นโยบายของรัฐบาลได้ตั้งไว้ว่า ภายใน 5 ปีจากนี้ไปเราจะขออยู่ในอันดับที่ 2 หากถามว่ายากไหมคำตอบ คือยากแน่นอนแต่ก็ไม่เกินความสามารถถ้าทุกคนที่เชี่ยวชาญทางด้านอาหารร่วมมือกันเมื่อทำให้อาหารขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 จึงเกินภาพรวมเรื่องครัวไทยสู่โลก เมื่อคิดถึงอาหารชาติใดอยู่ในใจ 4 ของไทยเหนือญี่ปุ่นอยู่เล็กน้อย อิตาเลียน สปาเก็ตตี้ 1 ในโลก

ในแง่การตลาดจากที่ไปตลาดที่ลอนดอน ปรากฏว่ามีอาหารญี่ปุ่นอยู่ในห้างสรรพสินค้ามากกว่าอาหารไทย ถ้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ลอนดอน ก็จะมีร้านชูชิญี่ปุ่น นั่งแล้วก็มีสายพานวิ่งฝรั่งก็ยินดีจ่ายไป เท็มปูระ 5 ปอนด์/250 บาท อ.ยิ่งศักดิ์ให้ข้อมูลประเทศสิงคโปร์ ให้ข้อมูลประเทศอังกฤษเผื่อจะเปลี่ยนใจไปลงทุนในประเทศอังกฤษแทน อาหารก็แพงในขณะนั้นมีแค่น้ำซุปเส้น 10 กว่าเส้น กุ้ง 1 – 2 ตัว

อาหารไทยที่ได้ชื่อว่า Thai Food ไม่ว่าเจ้าของจะเป็นชาติอะไร พ่อครัวแม่ครัวชาติอะไรก็พอได้ ต่างชาติติดกับชื่อ Thai Food ไม่ว่าจะหรูขนาดไหน ว่าจะเป็น Food Court ก็ขายได้ ผัดไทยผัดไปเถอะต่างชาติกินได้หมดที่เยอรมันแกงเชียวหวาน ราคา 200 – 300 /จาน ก็ถือว่าธรรมดา

ด้านอาหารที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรน้ำ อาหารไทยอยู่อันดับ 8 ไม่ใช่ว่าสรรพคุณไม่ดีแต่ไม่มีการเผยแพร่ หรือตอกย้ำให้ผู้บริโภคได้เข้าใจถึงสรรพคุณของสมุนไพรของเราที่ขณะนี้จัดอยู่ในยาแผนโบราณยังไม่มีการทำการตลาดอย่างจริงจัง ที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์ว่ากล้วยน้ำหว้าลูกโตๆ ก็นำไปถวายพระหมด ก็เป็นเรื่องจริงที่เป็นจุดที่ภาครัฐเล็งเห็นว่าจะเข้ามาเพื่อแก้จุดบกพร่องตรงนี้เพื่อทำให้ของเรามีคุณค่ามากขึ้นผลไม้ไทยก็ยังเป็นอันดับ 1 เช่น มะม่วง ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นที่ยอมรับอย่างมากการที่เราจะส่งเสริมครัวไทยเป็นครัวของโลก อาหารไทยทำกันอย่างไร ภาครัฐจึงกระตือรือร้นออกมาตรการส่งเสริมให้มีการพัฒนาขีดความสามารถ OTOP สำนักงานส่งเสริมรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

เรื่องบริษัทพันธมิตรอาหารไทยขอทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เนื่องจากกระแสข่าวพันธมิตรอาหารไทยมีมาก่อน 2 -3 เดือน ขณะนี้รูปแบบการส่งเสริมไม่ใช่รูปแบบของบริษัท บริษัทพันธมิตรอาหารไทยนั้นไม่มี ผลสรุปการเข้าประชุมก็จะมีคณะกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาหารไทยและร้านอาหารไทยแห่งชาติ ดำเนินตามมติ ครม. เพราะฉะนั้นเราจะพัฒนา 2 อย่างควบคู่กันไปคือ พัฒนาอาหารและร้านอาหาร

ทำอย่างไรอาหารทุกจานที่ผู้บริโภคกินแล้วสบายใจ อาหารไทยเป็นอาหารที่นิยมเลิศรสแต่ Food safety เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงของเรา ฝรั่งมาเที่ยวในประเทศไทยกินเข้าไปแล้วสุขภาพไม่ดี ท้องเสียจึงถือเป็นจุดอ่อนมาก การเปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศนั้น Food safety จะต้องผ่าน 100% ถ้าไม่ผ่านก็เปิดไม่ได้ เพราะ Food safety standard เขาจะตรวจ 100% แต่ถ้าเป็นบ้านเรานั้นบางครั้งเรากินอาหารแล้วท้องเสียก็มี ตั้งแต่ผักที่ปรุง ภาชนะที่ใส่ เนื้อสัตว์ที่มีการปนเปื้อนสารเคมีต่างๆ ที่ทำให้มีผลต่อร่างกายเรา เป็นเรื่องที่เราต้องดำเนินการแก้ไขอยู่อย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการอาหารไทยและร้านอาหารไทยแห่งชาติ เป็นการทำงานแบบบูรณาการในแง่ที่ว่าประธานคณะกรรมการคือท่านรองนายกฯ สมคิด คณะกรรมการประกอบไปด้วยทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ อ.ยิ่งศักดิ์บอกว่าผลิตพ่อครัวแล้วส่งออกไม่ได้เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศที่ต้องทำหน้าที่เจรจา เพื่อให้พ่อครัวที่เราผลิตได้ไปต่างประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นทวิภาคี พหุภาคี ทางสาธารณสุขก็จะมาดูแลในเรื่อง Food safety เรื่องขบวนการรับรองมาตรฐานต่างๆ ในขณะนี้มีสำนักงานมาตรฐานอาหารเกษตรและอาหารแห่งชาติที่จะทำอะไรขึ้นไปอีกมาก กระทรวงที่เกี่ยวข้องเช่น กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีศูนย์การค้าพาณิชยกรรมอยู่ทั่วโลกก็จะเป็นด่านแรกที่จะให้บริการ

สำหรับร้านอาหารไทยที่ต้องการขยายกิจการร้านอาหารเป็นการยกระดับมาตรฐาน ในประเทศไทยสามารถติดต่อได้ที่ สสว. ได้ในเรื่องที่จะไปเปิดร้านอาหารไทยว่า จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ต้องลงทุนอย่างไร หาเงินทุนอย่างไร ต่อไปการดำเนินงานจะไม่มีขีดคั่นระหว่างกระทรวงและหน่วยงานของรัฐอีกต่อไป คณะกรรมการจะเป็นตัวอย่างของการทำงานในภาครัฐที่บูรณาการ ที่บอกว่ากระทรวงนั้นทำอย่างนั้นกระทรวงนี้ทำอย่างนี้ที่ซ้ำซ้อนกันก็จะลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งไม่มีการซ้ำซ้อนกันอีก ถ้าจะมีก็คือการซ้ำเสริมให้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่า เป็นการต่อยอดเป้าหมายของครัวไทยสู่โลกร้านอาหารไทยสู่ประเทศอื่น

เราเน้นความเป็นไทย เพราะอาหารไทยเป็นสื่อของวัฒนธรรม เป็นทูตวัฒนธรรมของประเทศสิ่งนี้เราก็จะส่งออก Reverse ออกไป ทำไม Food safety ร้านพิซซ่ามาไทยเราได้ เราก็จะส่งกลับไปบ้างเมื่อเราส่งกลับไปแล้วกุลยุทธ์ทางภาครัฐก็จะเป็น Outlet อาร์มให้กับประเทศในการส่งออกวัตถุดิบอาหารไทยไปต่างประเทศเพื่อให้อาหารจานเด็ดของไทยมีส่วนผสมเครื่องปรุงต่างๆจากประเทศไทยมาที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อจะได้คงรสชาติของความเป็นอาหารไทยไว้ ขณะเดียวกันร้านอาหารไทยในต่างประเทศก็เป็น Outlet เป็นการจำหน่ายสินค้า OTOP ที่ อ. ยิ่งศักดิ์ กล่าวถึง 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ นี้เป็นยุทธศาสตร์ที่เราจะใช้ล่าร้านอาหาร 6,500 แห่ง และ 10,000 แง ใน 3-4 ปี ข้างหน้า Outlet อย่างดีเลยตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปเห็นของตกแต่งในร้านก็ดี สินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่ผ้าปูโต๊ะ ช้อนส้อม ถ้วยชามเซรามิกทุกอย่างรัฐบาลสนับสนุนให้ผู้ผลิตนำส่งออกไปให้ได้ด้วยความร่วมมือของทุกกระทรวง ทบวง กรม และสายการบินไทย

เข้าไปถึงร้านอาหารถึงหน้าร้านเพียงแค่แจ้งให้ทราบว่าต้องการอะไรล่าสุด สสว. ได้ร่วมมือกับร้านอาหารไทยที่มีศักยภาพที่จะเป็นตัวอย่าง รูปแบบการำงานของ “ครัวไทยอาหารไทย” สถาบันกลาง Q-Mark คือ ตรารับรองคุณภาพความชื่นชมในอาหารไทยโดยมีหน่วยงานของรัฐที่จะช่วยกันสร้างมาตรฐานไทยทั่วโลก เพราะเราต้องการให้อาหารไทยติดอันดับโลกเนื่องจาก Life Style ของผู้บริโภคต่างประเทศถ้าไม่มีการรับรอง ก็คงไม่ได้รับการชื่นชม เหมือนมิชลินแบรนด์ ได้ส้อม 1 ข้าง 1 คู่ 2 คู่ รับรองเลยว่าอาหารนี้ยอดเยี่ยม รัฐบาลไทยก็เช่นเดียวกันที่ต้องสร้างสแตนดาร์ดให้กับร้านอาหารไทยทั่วโลก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

แล้วมิหนำซ้ำไม่ใช่แค่ร้านอาหารไทยที่จะต้องเป็นครัวของโลกเรายังสนับสนุนให้พัฒนาอาหารไทยในรูปอุตสาหกรรมเช่น Ready to eat กินที่ภัตตาคารไทย หลังจากที่กลับไป ก็เกิดติดใจ ก็เลยไปร้านซุปเปอร์มาเก็ต หยิบจากตู้เย็นแล้วจ่ายเงินแล้วกลับบ้านไปเข้าไมโคเวฟคลุกทานได้ นี้คือ Ready to eat

Ready to cook ภัตตาคารอาหารไทยที่จะมีเป็น 10,000 ร้านอาหารทั่วโลก ต่อไปจะ mass มากขึ้นจะต้องทำแข่งกับเวลาจะต้องเทิร์นให้ได้ 2 – 3 รอบต่อคืน คงจะลำบากที่จะต้องสต๊อคของสดซึ่งมันเน่าเสีย รัฐบาลเองมีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ประกอบผลิต Ready to cook พร้อมและ อาจจะไปเติมเสน่ห์ปลายจวักด้วยตัวเองก็ทำเป็นอาหารจานเยี่ยมของร้านนั้นไปได้ นี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่เราเน้นอุตสาหกรรมนี้ คือภาพส่งออกที่เราจะได้อย่างเนื้อๆจริงๆ

เจอนูร์ลิด เมนู ก็จะเป็น top ten top fifteen มีการผลิตขึ้นมา เราจะเน้นในเรื่อง farms/ farmersพวกปลูกผักจะต้องเน้นให้มีคุณภาพที่อยู่ในมาตรฐาน มาตรฐานนี้เราจะต้อง endorse ตั้งแต่ฟาร์มผู้บริโภคจะได้มั่นใจว่าของที่อยู่ที่บ้านของเขานั้นมันมีมาตรฐานตั้งแต่ไร่ที่สระบุรี ที่ขอนแก่น และต่อไปก็จะมีคณะ delegate จากต่างประเทศเข้ามารับรองถึงฟาร์ม เราจึงจะไปตรงนี้ certificate อย่างนี้สามารถที่จะเป็น national endorsement ได้ มีองค์กรที่เกี่ยวข้อง Raw material, Ready to Cook, Ready to eat ,
Restaurant retail คือเราจะดู Total Vulcan ทั้งสายผลิต ตั้งแต่แรกถึงร้านอาหาร จะเห็นว่า SMEs จะมี สสว. การเงินจะที SMEs Bank มี venture Epaulet Fund โดยที่มี สสว.เป็นแกนหลักในการบริหารกองทุน SMEs ส่วนเงินจำนวน 50,000 ล้านบาทก็มีส่วนที่จะนำมาช่วยสนับสนุนร้านอาหารไทยที่จะเป็น 10,000 – 20,000 ร้านอาหารทั่วโลก ถ้าหากร้านอาหารนั้นมีมาตรฐานที่จะทำเราก็จะสนับสนุนตั้งแต่การผลิต การเงินตลอดจนการขายโดยมีสถาบันร้านอาหารมารับเอง เพราะฉะนั้นภัตตาคารไทยสามารถเลือกรับบริการอาหารไทยได้ทุกรูปแบบ จะเห็นว่าแต่ตั้ง management การฝึกบริหารจัดการ ฝึกอบรม license Pr Ex ร้านอาหารที่ได้รับคัดเลือกจะอยู่ใน list ของ Pr ของ หน่วยงานของภาครัฐ เช่นการบินมี in-flight Magazine ร้านอาหารไทยของท่านจะปรากฏใน in – flight Magazine ท่านลองคิดดูว่าจะมีกี่ Consumer ที่จะได้เห็น Magazine ลงว่าประเทศนั้น ๆ สามารถที่จะรับประทานอาหารที่ร้านนี้ ประเทศนี้ได้เลยบอกได้หมดว่าอยู่ที่ไหน และสามารถจองได้ล่วงหน้า จะจองผ่าน E-mail ก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นร้านที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่และมากมาย รวมทั้งภาคการเงินด้วยอีก 2 ปี เราจะมาคุยกันอีกทีว่าจะอยู่อันดับสองของโลกได้ไหม

ผลที่คาดว่าจะได้รับ ขณะนี้การทำงานของทางภาครัฐ Even Market เหมือนเอกชน ทำแล้วได้อะไรมี Return สักแค่ไหน เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการจัดสรร ที่เขาเรียกว่า Resource allocation ภาครัฐในยุคนี้จะต้องชัดเจน เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สักแต่ว่าจะทำเช่น “จะเป็นอันดับ 2 ของโลกได้ไหม” คำถามที่ว่าร้านอาหารไทยมีมากขึ้นหรือเปล่า สินค้า OTOP ขายได้เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ทูต CEO ผู้ว่า CEO เริ่มขึ้น 1 ตุลาคม 2546 ทุกอย่างโยงเข้ากันหมดไม่ว่าครัวไทยสู่โลก โครงการทูต CEO ผู้ว่า CEO ไปปลูกผักไปดูแลฟาร์มให้ดี จังหวัดของท่านปลูกผักได้มาตรฐานหรือเปล่า สามารถส่งเข้าขบวนการครัวไทยสู่โลกได้ไหม ปริมาณขายแต่ละจังวัดเพิ่มขึ้นหรือเปล่า จำนวนร้านมาตรฐานเพิ่มขึ้นไหม ปริมาณและมูลค่าการส่งออกในประเทศไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นหรือไม่ ทุกอย่างอยู่ในขบวนการ อยู่ในบูรณาการทั้งหมด เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าภาครัฐเดินหน้าเต็มที่

แต่อย่างไรก็ตามนโยบายในภาครัฐที่กล่าวไปแล้ว เอกชนก็นำภาครัฐ รัฐมีหน้าที่สนับสนุนอำนวยความสะดวกทุกเรื่อง ส่วนผู้ที่เป็นตัวละครเอกก็คือ เอกชน เอกชนในที่นี้จะรวมถึงนักศึกษาที่กำลังจะจบที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผู้ที่ทำงานแล้วเปลี่ยนอาชีพออกมาเป็นผู้ประกอบการ อยากเป็น SMEs จะเห็นได้ว่าความพร้อมครัวไทยสู่โลก กล่าวสั้นๆ คือ ศักยภาพความพร้อมที่มีอยู่ในตอนนี้จะอยู่ในขั้น Operation คือการ Execution ที่จะทำให้เกิดเป็นผลซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจโดยเฉพาะสถาบันการศึกษาเพื่อที่จะผลักดันโครงการนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป และบรรลุเป้าหมายอย่างที่พวกเราต้องการ เพราะเป็นโครงการที่บูรณาการจริงๆ

อาจารย์ พิทยะ ศรีวัฒนสาร

คำตอบในคำอธิบายของท่านทำให้เรามั่นใจได้ว่าร้านอาหารไทย ผู้ประกอบการอาหารไทยและพ่อครัวของไทยที่ได้เรียนจาก อ.ยิ่งศักดิ์ และสถาบันอื่นๆก็ได้รับการสนับสนุนด้วย

เริ่มจากการ Check rating จากพวกเราก่อนว่า พวกเราจะเชื่อมั่นหรือไม่อย่างไรสำหรับร้านอาหารไทยและผู้ประกอบการของไทย จะสามารถที่จะออกไปบุกเบิกเส้นทางเพื่อที่จะสร้างการเป็นปึกแผ่นให้แก่เศรษฐกิจของไทยในวันข้างหน้า จากมรดกภูมิปัญญาไทย อาหารไทย ร้านอาหารไทยทั่วโลก 6,000 กว่าแห่งมีเพียง 20% ที่มีเจ้าของเป็นของคนไทย แต่เราได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ภายใน 5 ปี ที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่จะผลักดันอาหารไทยเป็นอาหารยอดนิยมอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลก แต่ อ.ยิ่งศักดิ์ บอกว่าใช้เวลาเพียง 2 ปี อาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลกคือ อาหารอิตาเลียน (อันดับ1) ฝรั่งเศส(อันดับ2) จีน(อันดับ3) ไทย(อันดับ4) ญี่ปุ่น(อันดับ5)อินเดีย(อันดับ6) อาหารไทยที่เป็นที่นิยมสูงสุดคือ ต้มยำกุ้ง เมื่อปี 40 นั้นเมื่อเศรษฐกิจของเราประสบภาวะวิกฤต จึงเป็นที่มา ต้มยำกุ้ง Crisis คือวิกฤตการณ์จากต้มยำกุ้ง จากการลดค่าเงินบาทของไทยเมื่อปี 40 อย่างไรก็ดี แม้เราจะทราบว่าอาหารไทยมีคุณค่าทางด้านโภชนาการและทางด้านสมุนไพร แต่ว่าคนทั่วไปรู้ว่าอาหารไทยจัดเป็นอาหารไทยมีคุณค่าทางด้านสุขภาพ เป็นอันดับที่8 เนื่องจากปัญหาการโปรโมท ปัญหาของการสนับสนุน หรือว่าปัญหาของการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ของเรานั้นยังมีน้อย อันที่จริงอาหารไทยมีคุณค่ามากมาย อย่างที่ คำกล่าวของ อ.ยิ่งศักดิ์ เรายังทราบว่าอาหารหวานของเรา เช่น ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นอาหารยอดนิยม ในอดีตสมัยพุทธกาลพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงการเสวยมะม่วงของพระพุทธเจ้าไว้ก่อนที่ท่านจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็ชี้ให้เห็นว่ามะม่วงเป็นผลไม้พื้นบ้านของไทยเรา และได้รับการปรับปรุงขยายพันธุ์อย่างดีมาโดยตลอด เป็นที่นิยมกันมาอย่างต่อเนื่อง เรามีศักยภาพเพียงใดต่อการแข่งขันในตลาดโลก ผอ.วีระชัย ก็ได้กล่าวไว้ว่า ในเมื่อรัฐบาลของไทยเราพร้อมที่จะสนับสนุนทุกอย่างแล้วเพราะฉะนั้นเป็นอันว่า พวกเราที่จะเป็น บัณทิตในวันข้างหน้าที่ไม่มีอะไรนอกจากตัวและมันสมองก็สามารถจะเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารในต่างประเทศได้ ถ้าพร้อมที่จะทำ และสนใจที่จะทำ

ส่วนใหญ่กรณีที่รัฐได้ทำ Road Show หรือว่าการทำตลาดในต่างประเทศก็ได้เริ่มต้นที่อังกฤษต่อไปเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ซึ่ง อ.ยิ่งศักดิ์ ยินดีที่จะร่วมเดินทางไปและ ผอ. วีระชัยก็ตอบรับโดยการเชิญท่าน พวกเราที่อยู่ที่นี้ ก็ได้เอาใจช่วยชาวสวนของเราที่จะได้มีโอกาสที่จะส่งผลิตภัณฑ์ของเราจากสวนลงโต๊ะอาหารโดยตรง ท่ามกลางการพัฒนาคุณภาพอาหารอย่างเข้มข้น และได้รับการดูแลจากทูต CEO อีกทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เราจะส่งเสริมอาหารไทยให้เป็นอาหารยอดนิยมของโลกได้อย่างไร เพื่อให้การท่องเที่ยวของเรามีความยั่งยืน ท่านอาจารย์อรุณศรี ศาสตรานิติ แงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะอธิบายให้เราทราบ ขอเรียนเชิญครับ

การส่งเสริมอุตสากรรมทางการท่องเที่ยวด้วยอาหารไทย โดย นางอรุณศรี ศาสตรานิติ
เรื่องอาหารไทยกับการท่องเที่ยวเกี่ยวพันกันอย่างไร ทรัพยากรทางการท่องเที่ยวแบ่งออกเป็นทรัพยากรด้าน ธรรมชาติ ทรัพยากรด้าน โบราณสถาน ทรัพยากรด้าน ศาสนาสถานและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้แก่ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตและความเชื่ออาหารไทยได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรการท่องเที่ยว ในแง่ของวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตอาหารไทยกับการท่องเที่ยวเกี่ยวพันกันตรงนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีมากที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวหลากลาย ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาก็มีความสนใจที่หลากหลาย เช่นบางประเทศสนใจวัฒนธรรม บางประเทศสนใจธรรมชาติ บางประเทศมาเพื่อรับประทานอาหารอย่างเดียว บางประเทศมาเพื่อช้อปปิ้งอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจากที่อาหารไทยเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยวมาตั้งแต่เราตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว นั้นคือ ปี 40 มาแล้วเราไปโปรโมทประเทศไทยที่ไหนเราก็จะเอาอาหารไทยไปด้วย เอาไปตั้งแต่สมัยที่ซึ่งแสนจะยากเย็น คือสมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักอาหารไทยยังไม่มีใครขาย ส่วนประกอบของอาหารไทยในต่างประเทศเลย วิธีไปของเราก็ได้รับความกรุณาจากการบินไทย การขนเราก็ขนกันแบบแทบจะย้ายเมืองกันเลยทั้งผักสด พริกสดเอากันไปเป็นลังๆ เผื่อว่า 10 วันที่ไปทำอาหารไทยนั้นต้องมีของเสียที่จะต้องทิ้งด้วยและหาซื้อไม่ได้ในต่างประเทศจะเห็นว่าเราเอาอาหารไทยของเราไปตลอด อาหารไทยไปแล้วใช่ว่าเราเอาอาหารไทยไปเสริมขายเฉยๆ แต่เราได้แสดงวิธีทำด้วย นอกจากนั้นเราก็เอาวัฒนธรรมอื่นในด้านอื่นๆอย่างเช่น การรำ แกะสลักผักผลไม้ โดยมีผู้อธิบายให้ฟังจะเห็นว่าอาหารไทยเราตามไปขนาดนั้นซึ่งต่อมาการนำเอาอาหารไทยไปต่างประเทศสะดวกขึ้นเพราะการที่เราในประเทศต่างๆ พบว่าร้านขายของชำที่เป็นผักไทย เช่น โหระพา ก่อนที่เราจะไปประเทศไหนสำนักงานที่อยู่ที่นั่นก็จะตรวจตราดูก่อนว่า ผักชนิดไหนบางที่ที่นั้นมี เราจะได้ไม่ขนไป เราจะได้เอาเฉพาะที่จำเป็น ปีหลังๆ มานี้อาหารไทยเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีร้านอาหารไทย ที่คนไทยไปอยู่ต่างประเทศแล้วเปิดร้านอาหารไทยก็มีการสั่งของเข้ามาการเอาส่วนประกอบอาหารไทยก็สะดวกขึ้น นอกจากการส่งเสริมอาหารไทยด้วยการขนส่งส่วนประกอบอาหารไทยไปทำในประเทศต่างๆแล้ว เราก็แสดงวิธีทำด้วยตอนหลังเริ่มสนุกมากขึ้นจากที่ทำในครัวเราก็ขอโรงแรมออกมาทำโชว์ เช่น ต้มยำกุ้งเพราะเป็นอาหารที่มีส่วนผสมน้อย ทำง่าย และสามารถทำเองที่บ้านได้ ส่วนประกอบที่ต่างประเทศก็เยอะหลังจากนั้นเราก็เริ่มคิดว่าการที่จะนำอาหารไทยไปโปรโมทนั้นยากมากมาย ยากกว่าเชิญนักเขียนเข้ามาบ้านเราโดยให้นักเขียนไปที่โรงเรียนการเรือน ซึ่งสอนเด็กผู้หญิงทำอาหารอย่างเดียวนำชมวิธีการเรียนทำอาหารไม่ใช่ทำแบบฉาบฉวยเราต้องเรียนด้วยใจรักและอยากทำจริงๆ พวกนักเขียนกลุ่มนี้จะไปทำการเขียนเรื่องอาหารไทยจนกระทั่งใน 5 – 6 ปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวเริ่มเปลี่ยนไปเยอะ ไม่ใช่ที่มากันเยอะๆแล้วขึ้นรถลงรถแล้วไกด์บอกพัก 10 นาทีก็ 10 นาที บอกให้ถ่ายรูปก็ถ่าย แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นมันเริ่มมีการสนใจพิเศษมากขึ้นเป็นเฉพาะเรื่องๆ ไป อาจเป็นเรื่องระบบนิเวศ วิถีชีวิตชาวบ้านแต่ที่สำคัญ 5-6 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเริ่มสนใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบเวลเนส เป็นการท่องเที่ยวแบบอยู่ดีกินดี ททท. จนได้มีการบอกกล่าวว่าอาหารไทยไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว แต่ยังเป็นอาหารเชิงสุขภาพด้วยเพราะมีสมุนไพรต่างๆ เยอะแยะมากมายเราก็เอาต้มยำกุ้งขึ้นมาโชว์เพราะว่ามันมีสมุนไพรอะไรบ้าง

อาหารไทยในแง่ของสมุนไพร อาหารไทยกับการท่องเที่ยวแยกออกจากกันไม่ได้เลยถือว่าเป็นสินค้าหนึ่งของการท่องเที่ยวเป็นที่ช่วยดึงดูดให้คนเข้ามาในบ้านของเราเช่นเดียวกันกับธรรมชาติที่สวยงาม และโบราณสถาน และหนึ่ง Product นี้อาหารแต่ละชนิดวิธีทำแต่ละขั้นตอนไม่ใช่จะเกิดขึ้นในวันสองวัน แต่เป็นมาด้วยวิถีชีวิต ความคิด จินตนาการ และความประณีตบรรจงที่บรรจุในอาหารเราจึงเอาอาหารมาเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว

อาจารย์ พิทยะ ศรีวัฒนสาร
จากคำกล่าวของ ผู้อำนวยการ อรุณศรี ชี้ให้เห็นว่าอาหารไทยเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรการท่องเที่ยว ซึ่งนอกเหนือจาก โบราณสถาน วัฒนธรรม อาหารไทยยังเป็นสิ่งที่ ททท. ได้ใช้เป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อก่อนนี้ถ้าเราไปที่ถนนกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประจำคือ ร้าน สุพรรณหงส์ ก็ได้รับการผลักดันจาก ททท. ได้สร้างสรรค์ สะสมภูมิปัญญาและผลักดันภูมิปัญญาที่จะทำให้มีการสาธิตอาหารไทยให้ชาวต่างชาติได้รู้จักกับอาหารไทย ก็เป็นความพยายามที่ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ ททท. ได้ทำตั้งแต่แรกกลายมาเป็นจุดเด่น เป็น “ดาว” ในการที่จะทำให้คนทั่วโลกรู้จักประเทศไทยซึ่งเป็นการนำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ขอเรียนเชิญผู้มีเกียรติทุกท่านหยุดรับประทานอาหารว่าง แล้วเราจะมาเริ่มกันอีกภายในสิบนาทีครับ

ผู้ร่วมการสัมมนาตั้งคำถามวิทยากร

อ.ยิ่งศักดิ์ ไม่ทราบว่า 2 ท่านที่ยกมือเมื่อสักครู่นี้ที่ผมถามว่า “เป็นมายาหรือเปล่า”
มีคำถามไหมครับ
น.ส.อัญชลี ค่ะ การส่งออกวัตถุดิบที่ส่งไปยังต่างประเทศ ภาครัฐมีวิธีการปฏิบัติการอย่างไรคะ
วัตถุดิบที่เป็นเครื่องปรุงของอาหารไทยค่ะ

นายวีระชัย การส่งออกเครื่องปรุงนั้น ทราบไหมครับว่าปีหนึ่งๆ เวลาส่งออกปีละเท่าไร ขอถาม Quiz สั้นๆ ครับยังไม่ทราบไม่เป็นไร ขอบอกเป็นความรู้นะครับ 3 แสนล้านบาทครับ เชื่อมั้ยครับ เครื่องปรุงเครื่องเทศส่งออกปีละ 3 แสนล้านบาท ที่เห็นพวกกะปิ น้ำปลา ซอสพันท้ายนรสิงห์ หยั่นหว่อหยุ่น อะไรก็แล้วแต่สูงถึงขนาดนั้น ลองคิดดูว่าถ้าร้านอาหารไทยเพิ่มขึ้นจาก 6,500 ร้าน อาหารเป็นหมื่น ร้านอาหารเราจะส่งออกได้อีกเท่าไร แล้วนักศึกษาทุกคนที่ได้อยู่ต่างจังหวัดก็ไปคิดต่อกันได้ว่าเราจะปลูกอะไรที่สามารถต้อนเข้ากระบวนการเครื่องปรุงเครื่องเทศอย่างนั้นได้ เมื่อสักครู่ได้ถามถึงภาครัฐว่าทำอย่างไร ครับอย่างที่กล่าว ภาครัฐทราบดีว่าผู้ผลิตไม่มีความชำนาญเรื่องการตลาด ก็ขอให้มุ่งการผลิตที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะส่งออกนะคับที่สนับสนุนให้ทำอย่างเช่นที่อาจารย์ยิ่งศักดิ์บอกว่ากะเพราไก่ กะเพราต้องเป็นกะเพราที่ดีไม่มีสารปนเปื้อน สะระแหน่ ขิง ข่า ตะไคร้ นะคับ ปลูกให้ดี เครื่องปรุงเครื่องเทศ พริกสำเร็จรูปที่ตำแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้นนะครับ ภาครัฐก็กำลังสนับสนุนให้มีการตั้ง Thai Grocery Shop ในต่างประเทศนะครับ เป็น Distribution Center ในขณะนี้มีเอกชนหลายรายเริ่มที่จะสนใจติดตั้ง และเก็บมาถามทางภาครัฐว่าถ้าจะตั้ง แล้วมีแหล่ง supply ให้มั้ย แน่นอนครับ ถ้าเราพร้อมที่จะ supply เราก็จะขายได้อย่างถูกต้องมั้ยครับ นั้นเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้นำเข้าโดยตรงไม่ผ่านคนกลาง นี้คือการช่วยเหลือของภาครัฐที่เราสามารถทำ Matching ได้โดยตรง นี้คือส่วนที่ภาครัฐเข้ามาช่วยเชื่อมต่อให้กระบวนการ Value chain ที่ครบถ้วน ไม่ทราบว่าชัดเจนมั้ยครับ

น.ส.ทิพย์นภา ค่ะ “นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยจะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารไทยที่รับประทานเข้าไป หรือกำลังที่จะรับประทานมีความถูกต้อง ทางโภชนาการ สะอาดเพียงพอ เนื่องจากแทบตลอดการท่องเที่ยว เขาเห็นอาหารไม่ค่อยสะอาด วางขายตามฟุตบาทหรือร้านอาหารหลายๆแห่งก็ตาม ถ้ามีแผนปรับปรุงพัฒนาในเรื่องนี้จะใช้เวลานานเท่าไร”

นางอรุณศรี ปัญหานี้เป็นปัญหาหนักของการท่องเที่ยว เรียนให้ทราบได้เลยว่า เราได้รับการ Complain ในเรื่องความสกปรกของอาหารไทยมาจากนักท่องเที่ยว และเราเป็นคนส่งเสริมมารับประทานอาหารไทย แต่ว่านักท่องเที่ยวมาแล้วเดินตามถนน เห็นร้านอาหารเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวและอื่นๆ อีกมากมาย อยากทานแต่ไม่กล้าเข้าไปถึงแม้จะบอกว่าพวกเราก็ทานกัน ซึ่งในสภาพที่เห็นก็ตกใจ ไม่ว่าจะเป็นน้ำซุปที่มาในถังพลาสติก คุณภาพต่ำ ถังพลาสติกสีน้ำเงินยังใส่น้ำซุปได้เลย วางกับพื้นเทใส่หม้อต้มให้เดือด พอนักท่องเที่ยวเห็นพลาสติกสีน้ำเงินบอกว่า บ้านเขาไม่ใส่กินกัน เพราะอย่างนั้นเราจะโดนตลอดเวลา น่าเสียดายมากอาหารบ้านเราอยู่ตามข้างทาง ถ้าเราสามารถที่จะจัดการให้มีสุขอนามัยที่ดีไม่สกปรก มีที่ล้างจานที่ชัดเจนจะทำให้คนมาทานมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นดิฉันอยากเรียนว่าที่สิงคโปร์เขาจะมีอาหารที่อยู่ข้างถนนเหมือนกัน แต่เขาจะเปิดตอนกลางคืน ถ้าเราสามารถที่จะจัดการได้รัฐจะทำให้เลยคือคุณจะวางได้ขนาดแค่นี้และก็มีปลั๊กไฟให้ คนขายต้องอยู่ในระเบียบวินัย เช่น มีที่ล้างชัดเจน แต่ในบ้านเราทำจัดระเบียบได้ค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตามเรามีโครงการที่ ททท. เคยทำร่วมกับกรมอนามัยกับ กทม. เป็นโครงการที่เรียกว่า Clean Food Good Taste มีกรรมการจาก 3 หน่วยงาเช็คตรวจสอบ ให้ความรู้ในการทำอาหาร ถ้าคุณเป็นผู้สัมผัสอาหารคุณจะต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อตรวจเช็คจะให้ตราสัญลักษณ์ที่เป็นสีเขียว เขียนว่า Clean Food Good Taste ซึ่งเราจะบอกนักท่องเที่ยวว่า ถ้าเห็นตรานี้ก็ใช้ได้ แต่ตรานี้จะต้องมีการตรวจตลอดเวลา เพราะว่าเรียนให้ทราบเลยว่า ปัญหาหนึ่งในบ้านเรา ซึ่งอยากนักศึกษาได้ทราบไว้เผื่อนักศึกษาจบแล้วมาเป็นผู้ประกอบการเอง นักศึกษาจะต้องรู้อย่างนึ่งว่าความมีคุณธรรม มีวินัย ในเรื่องการทำธุรกิจมันเป็นเรื่องสำคัญ อาหารเราต้องมีความเข้าใจต้องรู้ถึงปรัชญาของการทำอาหารว่าอาหารเป็นสิ่งที่แพร่เชื้อโรคได้ง่ายมากเราต้องดู และคุณต้องมีคุณธรรมว่าทำอาหารให้คนอื่นทานเหมือนให้ตัวเองทาน มิฉะนั้นแล้วต่อให้ได้ตราอะไรไป คือต้องการได้ตราต้องทำได้ดีเมื่อตรวจสอบแล้วได้ตรา หลังจากนั้นจะไม่สนใจแล้ว มันมีโครงการนี้อยู่ ณ เวลานี้ เราบอกนักท่องเที่ยวได้ว่าถ้าคุณเห็นตรานี้ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งสามารถจะเข้าไปได้ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะต้องเข้าไปตรวจตราอีก และขอเวลาพูดถึงเรื่องคุณธรรมในเรื่องอาหาร ซึ่งว่าน่าเสียดายมากว่าเรา promote เรื่องอาหารไทย ให้มาทานอาหารทะเลในบ้านเรา ให้มาทานต้มยำในบ้านเรา แต่พอมาจริงๆ เจอผู้ประกอบการที่ไม่ซื่อสัตย์ เราได้รับการร้องเรียนที่บอกว่าในเมนูมีอาหารทะเลแต่ไปทานแล้วไม่มีอาหารทะเลแม้แต่ชิ้นเดียว พอโวยวายก็บอกว่านี่ไม่ใช่อาหารทะเลหรือ คือ ถั่วงอกผัดกุ้งแห้ง นี่เป็นศรีธนชัยที่เอามาใช้ในการประกอบการ นี่เราได้รับเป็นลายลักษณ์อักษรจากนักท่องเที่ยวว่าเมนูในการท่องเที่ยวบอกว่าโปรแกรมนี้มีอาหารทะเลและบอกว่าต้มยำกุ้งที่ได้ยินชื่อมากมาย ก็ได้กินต้มยำทุกมื้อแต่ไม่เคยเจอกุ้งเลย ส่วนประกอบที่มีอยู่ในชามก็มีใบมะกรูด ตะไคร้ ตักเท่าไรก็ไม่เจอเนื้อเท่ากับซดน้ำต้มยำ และในขณะเดียวกันภาครัฐพยายาม promote กระทั่งมีคนมาถามหาจะกินอาหารทะเล จะกินต้มยำ แต่ไม่ได้เป็นภาพที่เราบอก เพราะฉะนั้นถ้าทำทุกอย่างเป็นระบบและทุกคนร่วมใจกันและมีคุณธรรมในการทำธุรกิจ มีความซื่อสัตย์แล้วจะได้ตามเป้าหมาย แต่มิฉะนั้นมีแรงผลักดันก็ผลักไป แรงดึงก็ดึงไป ขอฝากด้วยนะคะส่วนแผนการพัฒนาเรื่องนี้ เราทำไปเรื่อยๆ ตามกำลังของ ททท. กรมอนามัยค่ะ

อ.ยิ่งศักดิ์ ขอเสริมนิดหนึ่ง ปีหน้าคงน่าจะหมดไปกับแผงลอย หาบเร่ก็จะครบ 8 ข้อ ตามที่กรมอนามัยจะทำกันรณรงค์กันเป็นแสนและจดทะเบียนเข้ามาเป็นชมรม 71 จังหวัด ตอนนี้มีแม่ค้าหาบแร่ แผงลอย Restaurant ในประเทศที่ทราบตัวเลขจากกรมอนามัยเมื่อวานนี้เองคือ 1 แสนหมื่นกว่า ถ้าเราทำ Brochure และเราจะตั้งใจทำคู่มือ Cook Book คู่มือการประกอบกิจการ ซึ่งใครที่อยากจะเข้าสู่วงการอาหารควรมีคุณสมบัติดังนี้ เราจะทำประมาณสัก 1 แสน 1 หมืน เล่ม ถ้าหากนำไปแข่งกับ KFC MADONALD และถ้ามีโอกาสเป็นไปได้อยากจะให้แนะนำ

เยอะแยะไปถ้าอยากจะทำ ขอให้สู้ๆเถอะ ยกตัวอย่าง เช่นร้านสลัด Counter Bar Salad ของ Sizzler เข้าไปก็ราคาแพงนะมีซุปเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ถ้าเราทำจริงๆ ก็พวกยำร้อยแปดอย่างของเราก็เป็นแล้ว มีทั้งน้ำปรุง น้ำแจ่วของเราก็วางเป็นถ้วยๆ น้ำพริกกะปิวางไว้ สักอย่าง อีกข้างก็มีน้ำพริกแมงดา ผักต้ม มะเขือทอด ผักสด เน้นผักไทยล้วนๆ ผักกระเจียว จัดเป็น Style Salad Counter ที่หรูหรามาก เรามั่นใจว่าถ้าชาวต่างชาติเข้ามารับประทานเพราะทั้งน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม มีอะไรต่อมิอะไรที่วางเป็น Counter Thai Salad เพื่อสุขภาพ ควรจะมี Design เป็นซุ้มศาลาไทยแล้วเอาซุ่มแบบนี้ไปตั้งร้านอาหารไทยทุกแห่งหรือเวลาออกงานทาง ททท. เอาซุ่มแบบนี้ไปตั้งก็ดี เมื่อทำเป็นซุ่ม Salad น้ำพริกไปตั้งให้เขาชิมว่า Thai Whipping Sauce มีอะไรบ้างหรือถ้าสนใจแต่ไม่ใช่อาหารไทย 100% อาจเปิดร้านซาลาเปามีไส้สับปะรด ไส้แบบไทยๆ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ มีสาวเสิร์ฟใส่โรลเลอร์สเก็ตขายแข่งกับเขาจะใช้ชื่อว่ามิสซาลาเปา ก็ขายอะไรก็ได้ที่เราทำขึ้นแล้วมีจุดขายแน่นอน อย่าง Donut หรือไก่ทอกที่เอ่ยมา อาจารย์ว่ามันไม่ดีที่ว่าคุณภาพ แต่มันแรงมาจากผลของการตลอดเท่านั้นที่เขาใส่จิตวิทยาสูงมากก็นำอาหารมาถามว่าหิวมั้ย ถ้าหิวก็กินกับไก่ แต่ทำไมพวกเราต้องถูกหลอก ต้องไปกินไก่แดนซ์ที่มีการโปรโมทกันใช้กลยุทธ์ทางการตลาด อีกหน่อยพวกเราต้องตกเป็นทาสของการตลาด อยากบอกกับพวกคุณว่าอย่างที่เขาประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงคุณภาพอย่างเดียว มันได้มาจากแรงโฆษณาวิธีการทางการตลาดอาหารไทยนี้ดีด้วยคุณภาพแต่ยังขาดโฆษณาไม่มีวิธีการทางการตลาดที่เพียงพอชั่วโมงนี้ทาง ททท. คงต้องทำจุดนี้ให้มากขึ้นคือเอา Marketing มาใส่ในอาหารไทย อาหารไทยเราจะได้ Go-Inter กับเขาจริงๆ และเราทุกคนต้องยอมรับว่าคุณภาพอาหารไทยมีสิทธิ์ครัวของโลกได้ว่าเรากินแล้วเพื่อสุขภาพ กรณีที่ผักผลไม้ไทยที่มี สรรพคุณทางยาสมุนไพร แต่เมื่อเรามาเสนอชาวต่างชาติเขาจะยอมรับได้เมื่อมีองค์กรรับรองสรรพคุณว่าอาหารไทยThe Best of the Word มีการทำวิจัยพืชผักผลไม้ต่างๆ และยังมีไก่บ้านต้มน้ำปลา ต้มใส่หม้อใส่ขมิ้นซึ่งมีสารพิเศษเป็นแอนตี้ออกซิแดนซ์ ใส่น้ำตาลโตนด น้ำปลาจากปลากะตัก Non-GNO เป็นเมนูที่ต้องโปรโมทไปทั่วโลก

น.ส.ดาราวรรณ ปัจจุบันนี้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่มีอยู่ทั่วไปเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติเมื่อมีการส่งเสริมการ เปิดร้านอาหาร อาจจะทำให้เกิดการอิ่มตัวและเกิดการแข่งขันกันเองจะมีแนวทางแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไรคะ ขอบคุณค่ะ

นายวีระชัย ขณะนี้เรามองอย่างธุรกิจพื้นบ้าน เราต้องดู Trend ของการตลาดอาหารไทยที่สั่งสมมานานพื้นฐานความเป็นอาหารดี อาหารคุณภาพมานาน ขาดการส่งเสริมทางการตลอดที่ อ.ยิ่งศักดิ์ คุณอรุณศรี ได้กล่าว อย่างที่ ททท. ได้ทำมา 140 ปี แล้วในเรื่องส่งเสริมอาหารไทยขณะนี้ Trend แนวโน้มการบริโภคอาหารไทยก็เติบโต Growth Rate ยังสูงอยู่มากนะครับ คำถามแรก ขอตอบว่าไม่อิ่มตัวนะครับ ในความคิดของผมว่าอาจจะหลายท่านมองให้หลายมิติ แต่ในทางความคิดของผมเท่าที่ได้ติดตามวิเคราะห์ดูคงไม่อิ่มตัวแน่ใน 5 ปีข้างหน้า ถ้าถามว่าร้านอาหารไทยที่จะเกิดการแข่งขันกันมากน้อยแค่ไน ในการแข่งขันกันเชิงธุรกิจเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ถ้าคุณไปเปิดร้านในประเทศที่เป็นโลกเสรีไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย แน่นอนว่าคุณต้องมีการแข่งขันเกิดขึ้น แต่มันขึ้นอยู่ว่าในฐานะที่เป็นเจ้าของร้านถ้าร้านคุณมีจุดขายซึ่งในร้านอื่นๆไม่มีทำให้คุณมี Competitiveness เชิงแข่งขันที่สูงกว่า อย่างเช่น ไก่แช่น้ำปลาของ อ.ยิ่งศักดิ์ นี้คือการยกตัวอย่าง Different ตัวเองจากผู้แข่งขัน ร้านอาหารไทยในต่างประเทศพยายามไม่เปิดใกล้กัน ในต่างประเทศการอยู่อาศัยไม่เหมือนบ้านเรา เขาจะอยู่อาศัยเป็นละแวกๆ resident พวกหนึ่ง Officer ก็พวกหนึ่ง เพียงแค่คุณคิดว่าจะเจาะตลาดกลุ่มไหน เพราะฉะนั้นการเลือกทำเลที่ตั้งก็จำเป็นอย่างหนึ่งที่คุณต้องพิจารณาให้ดีนะครับ ส่วนเรื่อง Product อาหารคุณต้อง Different Create จากคนอื่นๆและอีกหลายเรื่องที่ต้องพิจารณาในการทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของร้านสูงกว่าคนอื่น เช่น บริการ คุณภาพอาหาร ความอร่อย เสน่ห์ปลายจวักของร้านคุณที่ฉีกแนว คงความเป็นหนึ่งในเรื่องของเมนู โดยเฉพาะเมนูเด็ดของเซฟซึ่งจานเด็ดของทุกร้านควรจะมีเมื่อคุณเข้าไปในร้านต้องเสิร์ฟก่อนเลยนะครับ
ผู้เข้าร่วมงาน เคยฟังจากรายการโทรทัศน์ว่า ของดีและราคาถูกไม่มีในโลก ถ้าเกิดการพัฒนา Safety Food มีผลกระทบในด้านราคา มั้ยคะ จะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง

นายวีระชัย เคยไปทานอาหารถูกและดีมั้ยครับ ก็มีอยู่ใน Food Land ถูกและดีแต่ก็ไม่ถึงกับถูกนับบางเรื่องเป็นเรื่อง Marketing ที่จะบอกผู้บริโภคว่าอาหารของเขาอยู่ตรงไหนถูกและดี ยกตัวอย่างใน Food Land ที่จริงเขาไม่ได้ทำอร่อย และไม่ได้ถูก แต่ทีดีนั่นใช่ เพราะเครื่องปรุงส่วนใหญ่ส่วนประกอบของเขา เขาไม่ซื้อมาจากที่อื่น เขาคัดมาแล้ว เวลาเขาจะทำสักจาน เขาก็จะหยิบที่แผงนี้ คือสูตรของเขา พอดีผมรู้จักกับเจ้าของก็ถามเขาว่าทำไมถึงตั้งว่าถูกและดี เขาบอกว่าคำว่าถูกในภาษาไทยแต่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ คือ Reasonable price คุ้มค่ากับเงินที่คุณจ่าย และถามว่า Target Group คือใคร เขาก็จะเจาะตลาดระดับ Medium up คือคนที่ห่วงท้องเสีย ไม่กล้ากินตามแผง พวกนักท่องเที่ยวกลัวตาย ส่วนของเขารับรองไว้ว่าใครที่ทานที่นี้แล้วท้องเสียไม่เสีย แน่นอนว่าของอยู่ในร้านเขาเอง คัดมากับมือ Supplier สามารถรู้ได้ก่อนว่าไก่เป็นของเจ้าไหนได้ ผิดเพี้ยนไม่ได้ถ้าฝรั่งฟ้องร้านนี้เจ๊งเลย นี้คือกลยุทธ์ทางการตลาด เพราะฉะนั้นถูกและดีไม่มีในโลก ในบางทีภาษาไทยก็ไปตีความอีกที แต่เรื่อง Food Safety ถ้าถามว่าไม่ทำได้มั้ย ก็ได้ แต่ถามว่า คุณไม่ทำคุณก็อยู่ไม่รอดต่อไปในระยะยาวในภาษายุคนี้เรียกว่า Sustainable ซึ่งร้านอื่นเขาปรับ Safety อยู่เรื่อยๆ แต่คุณก็ดูจังหวะตลาดที่เหมาะสมกับผู้บริโภคจ่ายและคุ้มกันคือ Key นะครับได้
นายเจษฎา ถ้าต้องการไปเปิดร้านอาหารในประเทศอังกฤษ จะสามารถาวัตถุดิบได้อย่างไร และมีหลักการนำเข้าได้อย่างไรบ้างครับ

นายวีระชัย ถ้าเปิดร้านอาหาร อันดับแรกผมขอแนะนำให้ศึกษา ระเบียบของประเทศนั้นให้ชัดเจนถ้ากฎระเบียบไม่ชัดเจน คุณไม่เข้าใจก็คือด่านแรกไม่ผ่าน อันดับสอง วัตถุดิบไม่ต้องห่วงมากมาย ยิ่งเป็นตลาดใน London มีของเหลือเฟือ อันดับสาม ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหาร คุณต้องนำเข้ามั้ย ไม่จำเป็น ถ้าคุณไม่ใช่ Importer คุณจะสะสมของไว้ทำไม ใช่มั้ย เปลืองค่าใช้จ่าย แค่เงินลงทุนคุณก็หมดกระเป๋าแล้ว คุณเป็นร้านย่อยๆคุณซื้อเขาดีกว่านะครับ

อาจารย์พิทยะ ขอขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกท่านที่ได้มีความตั้งใจและมีความเมตตา เป็นอย่างสูงในการให้ความรู้แก่พวกเราครับ

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นิยาม แนวคิด ปัญหา และอุปสรรคของการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ความหมายของ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน”
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน( Sustainable Tourism) เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งนักวิชาการด้านการท่องเที่ยวได้ให้ความสนใจเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนกันมากขึ้น เนื่องจากความตื่นตัวด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการท่องเที่ยวที่หันมานิยมการท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีผู้กล่าวถึงความหมายของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไว้หลายทรรศนะ ดังนี้

การประชุม Globe’90 (พ.ศ. 2533) ให้คำจำกัดความว่า การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หมายถึงการท่องเที่ยวที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและเป็นเจ้าของท้องถิ่นในปัจจุบัน โดยมีการปกป้องและสงวนรักษาทรัพยากรของอนอนุชนรุ่นหลังด้วย

องค์การ Eastern Caribbean States (OECS) ให้คำจำกัดความว่า การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หมายถึงการใช้ประโยชน์สูงสุดในทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคและการเลี้ยงดูตนเอง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้มาเยือน และเป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิต โดยความร่วมมือของหลายๆ ฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ขอให้ราชบัณฑิตยสถานช่วยบัญญัติคำจำกัดความของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยราชบัณฑิตยสถานได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า หมายถึง การพัฒนาทรัพยากรท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสุนทรีภาพ โดยใช้ทรัพยากรอันทรงคุณค่าอย่างชาญฉลาด สามารถรักษาเอกลักษณ์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมไว้ได้นานที่สุด เกิดผลกระทบน้อยที่สุดและใช้ประโยชน์ได้ยาวนานที่สุด

จากทัศนะต่างๆ ที่กล่าวมา พอสรุปได้ว่า การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หมายถึง การท่องเที่ยวที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและผู้เป็นเจ้าของท้องถิ่น ภายใต้ขีดความสามารถของธรรมชาติที่จะรองรับได้ และตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีต่อกระบวนการท่องเที่ยว อีกทั้งประชาชนทุกส่วนต้องได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากการท่องเที่ยวอย่างเสมอภาคกัน รวมถึงมีการจัดการทรัพยากรเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ยังสามารถรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศของท้องถิ่นนั้นไว้ได้

แนวคิดในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) เป็นต้นมานั้น เป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายนำเงินตราต่างประเทศโดยสร้างงานสร้างอาชีพให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าและเติบโตอย่างรวดเร็ว นับจากปี พ.ศ. 2525 เรื่อยมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมีความเจริญทางเศรษฐกิจขึ้นเป็นลำดับ สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับหนึ่งมากกว่าสินค้าส่งออก ทั้งสินค้าสิ่งทอและสินค้าเกษตรกรรม ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศเป็นปีท่องเที่ยว (Visit Thailand Year) เป็นครั้งแรก

แม้ว่า ททท. ได้วางแผนพัฒนาการส่งเสริมการท่องเที่ยวไว้ เพื่อป้องกันผลประทบต่อทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อาจเกิดคู่กัน โดยมีนโยบายหลักในข้อ 3 ว่า “อนุรักษ์และฟื้นฟูสมบัติวัฒนธรรมทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้คงความเป็นเอกลักษณ์ของไทยไว้ด้วยดีที่สุด” แต่ผู้ประกอบการหลายรายมิได้ปฏิบัติตามแผนฯ แต่กลับมุ่งใช้ทรัพยากรกันอย่างฟุ่มเฟือย ขาดจิตสำนึกต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม ขาดการรับผิดชอบ การเสียสละต่อส่วนรวม ละเลย และละเมิดต่อกฎระเบียบ กฎหมาย ในที่สุดประมาณ ปี พ.ศ. 2528 – 2529 เมืองหลักทางการท่องเที่ยวหลายแห่ง ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อมเช่น ปัญหาขยะ ปัญหาน้ำเสีย ปัญหาสิ่งสาธารณูปโภค (น้ำ ไฟ โทรศัพท์) ไม่เพียงพอในเมืองต่างๆ เช่น เมืองพัทยา เกาะเสม็ด

ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) ททท. ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม เพื่อลดผลกระทบมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับแผนแม่บทของโลก คือ แผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) ที่กำหนดถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการบริโภค ประชากร และความสามารถในการรองรับของโลกต่อการค้ำจุนสิ่งมีชีวิต (Earth’s life Supporting Capacity) รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆ ที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ขณะเดียวกันนั้นได้มีการจัดการทรัพยากรอย่างระมัดระวัง การพัฒนาอย่างยั่งยืนมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวม ปรับสภาพการจัดการเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ของกระแสโลกที่เปลี่ยนไปจากสังคมบริโภคนิยมสู่ยุคสมัยสังคมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

สำหรับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) กำหนดให้การพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีเสรีภาพ มั่นคงและสมดุลเสริมสร้างโอกาสการพัฒนาศักยภาพของคนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาที่เป็นธรรม อันเป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างรายได้แล้ว ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสังคมวัฒนธรรมธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นโยบายการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของททท. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯฉบับที่ 8 ในข้อที่ 1. ส่งเสริมอนุรักษ์ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และทรัพยากรการท่องเที่ยวควบคู่กับสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงคุณภาพของการพัฒนาท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวในระยะยาวและคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์และมรดกของชาติสืบไป

ปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะดำเนินไปได้ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือและการประสานงานจากองค์ประกอบของการท่องเที่ยวในทุกด้านและเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน ไม่เพียงเฉพาะการผสมผสานความต้องการและการตอบสนองแก่นักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญต่อการดูแลรักษาความเป็นธรรมชาติและเอกลักษณ์ของทรัพยากรท่องเที่ยวเป็นหลักควบคู่กันไป แต่ในปัจจุบันแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 กำลังจะสิ้นสุดในปีนี้ การพัฒนาไม่สามารถดำเนินไปตามแผนได้ ด้วยปัญหาและอุปสรรคดังนี้

1. การบริหารจัดการ
ในส่วนขององค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการอันได้แก่ ททท. กรมป่าไม้ กรมการปกครอง การควบคุมมลพิษ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม รวมทั้งองค์กรชุมชนในท้องถิ่น หน่วยงานเหล่านี้เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน แต่ที่ผ่านมาการพัฒนามักเป็นการดำเนินการแบบ “ต่างคนต่างทำ” การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานนำไปซึ่งปัญหาการบริหารจัดการในท้องถิ่นนั้นๆ

2. แหล่งท่องเที่ยวกับกิจกรรม
ปัจจุบันการดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวบางชนิดไม่คำนึงความเหมาะสม หรือผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว มุ่งแต่ผลประโยชน์หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนทำให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว นอกจากนี้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งยังมิได้กำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity)

3. การบริการ
เป็นองค์ประกอบสำคัญในการอำนวยความสะดวก ส่งเสริม สนับสนุน กำกับ ดูแล ให้นักท่องเที่ยวบรรลุวัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยว การบริการการท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น ที่พัก ร้านอาหาร การบริการนำเที่ยว เป็นต้น แต่ที่ผ่านมาการบริการดังกล่าวไม่ได้รับการบริการจัดการที่ควร จึงกลายเป็นปัญหาการบริการที่ไม่มีมาตรฐาน

4. สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิทัศน์
แบบส่งเสริมคุณค่าและสวยงามให้แก่แหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ แต่ปัจจุบันแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งกลับถูกทำลายโดยสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิทัศน์ดังกล่าว ด้วยเหตุของการขาดการบริหารจัดการจากผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้น จึงกลายเป็นปัญหาการสร้างสิ่งแปลกปลอมหรือการทำลายทรัพยการในการท่องเที่ยว

5. นักท่องเที่ยว
ถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาและการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวเป็นผู้ต้องการหรืออุปสงค์ (Demand) ของการท่องเที่ยว อีกทั้งนักท่องเที่ยว คือ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาการท่องเที่ยวด้วย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือวัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยว การขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อการอนุรักษ์ทรัพยากร มีส่วนทำให้แหล่งท่องเที่ยวนั้นเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว

6. ชุมชนในแหล่งท่องเที่ยว
มีบทบาทและความสัมพันธ์ต่อการท่องเที่ยวในหลายรูปแบบ เช่น ความเป็นเจ้าของ ผู้จำหน่ายสินค้า ผู้ให้บริการ รวมถึงองค์กรปกครองท้องถิ่น ความสำคัญดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกในกระบวนการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน แต่ด้วยความเป็นชุมชนนั้นก็ก่อให้เกิดปัญหาในการพัฒนาการท่องเที่ยวได้ด้วยเหตุของการขาดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการพัฒนา จึงทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนล่าช้า

แนวทางการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
การพัฒนาเพื่อนำไปสู่การเติบโตการดำรงอยู่และการสืบทอดต่อไปจำเป็นต้องพัฒนาแบบครบวงจร ดำเนินการไปพร้อมกันในทุกองค์ประกอบในด้านต่างๆ ดังนี้

1. การบริหารจัดการต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ดำเนินไปด้วยกัน
2. การกำหนดกิจกรรมให้เหมาะสมกับแหล่งท่องเที่ยว
พอเพียงต่อขีดความสามารถในการรองรับของแหล่งท่องเที่ยว และก่อให้เกิดผลกระทบให้น้อยที่สุด
3. การส่งเสริม สนับสนุนการบริหารและให้บริการที่มีคุณภาพ
โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เป็นระบบ และยั่งยืน
4. การสร้างความสัมพันธ์ของชุมชนในการมีส่วนร่วม
และจิตสำนึกของการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ถ่องแท้ในคุณค่าของทรัพยากรกับกระบวนการการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยตระหนักถึงความพึงพอใจและความต้องการของชุมชนด้วย
5. การสร้างเสริมและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ
จิตสำนึกของนักท่องเที่ยวและเจ้าของท้องถิ่น ในความรัก หวงแหน และรับผิดชอบต่อทรัพยากรท่องเที่ยว รวมถึงการพึ่งพากันในความต้องการและตอบสนองอย่างรู้คุณค่าของการใช้ไปและการฟื้นฟู รักษาทรัพยากรการท่องเที่ยวไว้ให้ยั่งยืน

การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนนั้น ประชาชนในท้องถิ่น ผู้เป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวจะต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำกับพหุภาคี โดยคำนึงถึงเป้าหมายต่อการพัฒนา คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ได้นานที่สุด มีปัญหาหรือผลกระทบน้อยที่สุด นั่นคือการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง “การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน”

จัดการความรู้และเผยแพร่
โดย
พิทยะ ศรีวัฒนสาร


ในภาคเรียนต้น ปีการศึกษา 2547 ผู้เขียนได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครให้สอนรายวิชา 3574904 การสัมมนาธุรกิจการท่องเที่ยว จึงมีโอกาสเป็นที่ปรึกษาให้นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาดังกล่าว(คณะกรรมการการจัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ โปรแกรมวิชา เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ แขนงวิชา ธุรกิจการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร) จัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วันที่ 27 กันยายน 2547 ณ ห้องประชุมกรุงสยาม ชั้น8 ตึกมหาวชิราลงกรณ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร โดยมีวิทยากรประกอบด้วย รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ ดร.ละเอียด ศิลาน้อยและกำนัน ธวัช บุญพัด ผู้เขียนพิจารณาเห็นว่า เนื้อหาการสัมมนาสามารถนำไปใช้ในการสร้างองค์ความรู้แก่วงวิชาการสายการจัดการและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างลึกซึ้งจึงพิจารณานำมาเนื้อหาส่วนใหญ่ของรายงานการสัมมนาดังกล่าวเผยแพร่และถ่ายทอดผ่านสื่อสารสนเทศนี้


กำหนดการการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง “การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน”

08.30น . ลงทะเบียนและรับเอกสาร
09.00น. รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิทยาการจัดการ กล่าวรายงานการสัมมนา
09.05น . อธิการบดีกล่าวเปิกการสัมมนา
09.10น. พิธีกรแนะนำวิทยากร
09.15-10.00น. ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ปัญหาและผลกระทบต่อชุมชนกับแนวทางการแก้ไขจาก
การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของรัฐบาล”
องค์ปาฐก รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ ประธานมูลนิธิหมู่บ้านไทย
10.00-10.10น. พิธีกรสรุปและแนะนำวิทยากร
10.10-11.00น. “เครือข่ายการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน”
วิทยากร ดร.ละเอียด ศิลาน้อย ผู้อำนวยการสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว
และมัคคุเทศก์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
11.00-11.05น พิธีกรสรุป
11.05-11.20น. พักรับประทานอาหารว่าง
11.20-12.10น. “ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ อบต. : การปนเปื้อนทางวัฒนธรรมกับจิตสำนึกของชุมชน ” วิทยากร กำนันธวัช บุญพัดผู้ประกอบการ เครือข่ายโฮม สเตย์ ตำบลปลายโพงพาง อ.อัมพวา จ. สมุทรสงคราม
12.10น. อภิปราย ซักถาม เสนอความคิดเห็น
12.30น. ปิดการสัมมนา

พิธีกร
ดร.สุวันชัย หวนนากลาง ภาควิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์


ปัญหาและผลกระทบต่อชุมชนกับแนวทางการแก้ไขจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของรัฐบาล


โดย รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ ประธานมูลนิธิหมู่บ้านไทย


ท่านอาจารย์และก็นักศึกษาทุกท่าน เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมพูดเรื่องท่องเที่ยวในเวลา 3-4 วัน ทั้งๆ ที่ผมทำเรื่องการท่องเที่ยวมา 20 กว่าปี พาฝรั่ง พาญี่ปุ่น พาคนต่างชาติมาบ้าน ส่วนหนึ่งก็ไปดูงานพัฒนาและส่วนหนึ่งก็ไปเรียนรู้ที่เรียกว่า ทัวร์ทางเลือก ซึ่งเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วมี 2 กลุ่มที่ทำ กลุ่มทีมของผมที่ทำ และกลุ่มที่ชื่อว่า ไลฟ์ ทัวร์ ทำอยู่ทางเหนือ แต่ผมก็ทำอยู่ไม่กี่ปี ก็ไปทำงานพัฒนาทางอื่นให้คนอื่นๆ ทำไปก็มีประสบการณ์ท่องเที่ยวขณะนี้ก็เริ่มพัฒนาไปบางรูปแบบซึ่งเราเรียกว่าการท่องเที่ยวอนุรักษ์ การท่องเที่ยวยั่งยืน และอะไรอีกหลายอย่าง เมื่อวันก่อนเรามีงานโฮมสเตย์งานให้รางวัล ผมคิดว่าการโปรโมตเรื่องโฮมสเตย์ก็ดี แต่ว่ามันพูดเรื่องโฮมสเตย์อย่างเดียวมันแคบเกินมันทำให้คนคิดว่าจะไปหมู่บ้านแล้วก็ไปนอนบ้านชาวบ้าน ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นอะไรหลายอย่างมากกว่านั้น ไปเช้าเย็นกลับก็ยังได้ นอนก็ได้แต่ว่าเราก็คงจะไม่ได้หมายถึงโฮมสเตย์อย่างเดียว อาจจะหมายถึงการท่องเที่ยวที่มันครอบคลุมที่ไปถึงการไปชุมชน การไปเรียนรู้ การไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร นิเวศยั่งยืนและแบบต่างๆ ผมคิดว่าความสำคัญ วันนี้ที่อยากจะพูดคือว่า การท่องเที่ยวที่ว่านี้มันเป็นอะไรที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของชุมชนและทำอย่างไรเราจึงจะทำให้การท่องเที่ยวนี้มันได้ทุกฝ่าย ได้ทั้งคนไป ทั้งคนอยู่ ได้คนไปเที่ยว ได้ทั้งคนที่อยู่ที่บ้านต้อนรับ ไม่ใช่คนหนึ่งได้คนหนึ่งเสียหมายความว่าอาจจะได้เงินแต่สูญเสียหลายอย่าง เช่น ทางวัฒนธรรม ทางสิ่งมีชีวิต ทางสิ่งแวดล้อม อะไรหลายอย่าง จะให้ทุกฝ่ายมีความสุข มีความสบายใจ มีรายได้ดีขึ้น มีชีวิตดีขึ้น ผลก็เลยเลือกที่จะพูดวันนี้ คือ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยววิสาหกิจชุมชนนี้ก็คือการจัดการทุนของชุมชนในรูปแบบต่างๆ คือการวมกลุ่มกันจัดการเรื่องออมทรัพย์ เรื่องทรัพยากร เรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการเกษตร เรื่องสุขภาพ ได้ทั้งนั้นแหละ และการท่องเที่ยวก็เป็นวิสาหกิจชุมชน และในขณะนี้มี พรบ. ใหม่ ออกมาเรียกว่า พรบ. วิสาหกิจชุมชน ช่วยให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนมากขึ้น ผมอยากจะให้เราได้ทำความเข้าใจก่อนที่จะพูดเรื่องการท่องเที่ยวว่า วันนี้โลกกำลังหาอะไร แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงของโลกก่อนที่เราจะดูว่าเราต้อนรับเค้าอย่างไร ตรงไหน เราจะให้เค้าไปนอนที่ไหน เราจะต้องให้กาแฟอย่างไร เราจะต้องหาอาหารให้กินอย่างไร อย่างนี้เป็นเทคนิค พอขึ้นต้นไม้ต้องขึ้นทางต้นอย่าขึ้นทางปลาย ต้องจับความคิดให้มันชัดๆ ก่อนให้มันแม่นๆ ก่อน คนไทยเราชอบกระโดดไปหาเทคนิค ไม่ชอบวิทยาศาสตร์ แต่ชอบเทคโนโลยี สับสนว่าเทคโนโลยีเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่เทคโนโลยีเป็นลูกของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นหลักคิดสำคัญ นี่ก็เหมือนกันภูมิปัญญาชาวบ้านก็คือปรัชญาชีวิตของชาวบ้านแล้วก็มีภูมิปัญญาชาวบ้าน เราพูดถึงเรื่องท่องเที่ยวก็เหมือนกันเรามาผูกกันว่าวันนี้ในโลกเราต้องการอะไร แล้วมีอะไรดีๆ แล้วเราจะทำอย่างไร มันไม่ได้วิ่งไปจะต้องผลิต โรงงานอุตสาหกรรม เยอะๆ ตอนนี้ประเทศพัฒนาแล้วเค้ายกโรงงานไปให้ประเทศพัฒนาหมดเลย อยากเป็นนิค (Nic) ยกโรงงาน BMW ให้ไปเลย อยากเป็นดีทรอยต์ ตะวันออก ก็ยกโรงงาน Ford ไครสเลอร์ ให้ไปเลย เค้าจะได้ไม่มีปัญหาพวกนี้ไง เค้าจะได้ทำงานพวกคอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ Silicon valley เค้าทำเรื่องตลาดหุ้น เค้าทำเรื่องอะไร วันนี้โลกกลับไปหาธรรมชาติ เพราะว่าเราเริ่มรู้สึกว่าเราได้ทำลายธรรมชาติ เราได้ทำให้เกิดความสูญเสียทำให้มันเป็นพิษ ใจเป็นพิษ ทำให้เกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคซาร์ โรคห่า โรคเหว อะไรต่างๆ เต็มไปหมดจนรักษาไม่ได้ คือโรคเอดส์ คนเริ่มรู้สึกว่าที่เป็นอย่างนี้ เพราะเราไปผิดผี รู้จักผิดผีมั้ย เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักหรอกผิดผี ผิดผีคือไปฉุดลูกหลานเค้าอย่างเดียว คือ ผิดกฎธรรมชาติไงผิดผี ผีคือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เมื่อเราไปผิดกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเราก็มีปัญหา ฝนแล้ง น้ำท่วม พายุ มาหลายครั้งไม่เคยมีวันหมด วันนี้คนกลับไปหาธรรมชาติพูดเรื่องสุขภาพการค้าขาย วันนี้เขาไม่ได้ต่อสู้กันที่กำแพงภาษีอีกแล้วนะ ตอนนี้ FTA ทำให้ภาษีลดเหลือศูนย์ไง การค้าเสรีทำให้ภาษีแทบจะไม่มีอีกแล้ว แต่เขามาสู้กันที่สารเคมีไง สารเคมีน้อยไม่มีปัญหา ถ้าเขาตรวจพบว่าเรามีสารตกค้างเอากลับบ้านผลไม่รับเข้าแล้วเป็นไง เมื่อ 2 ปีก่อน ขาดทุกเป็นหมื่นๆ ล้านเลยนะ คนไทย ไก่คุณมีสารเคมีตกค้างเอากลับบ้าน ผักผลไม้ข้าวคนเราพบแล้วมีสารเคมีเป็นไงเอากลับบ้านสิ คนไทยจึงกลัวมากวันนี้กลัวขายของไม่ออกไง จึงได้มาเคร่งครัดในการผลิตอาหารไม่ว่าจะเป็นพืช ผัก ผลไม้ ไก่ หมู ที่เราส่งออก ปลาไม่ให้มีสารตกค้างต้องการเป็นโลกปลอดสารเคมี โลกเราทุกวันนี้ฝรั่งเป็นตัวแรกที่กระตุ้นให้เกิดพวกนี้ เขามาเที่ยวเมืองไทยเขาคิดว่าเมืองไทยยังมีธรรมชาติ วัฒนธรรม ซึ่งบ้านเขาเมืองเขาหายไปหมดแล้ว หมดไปตั้งนานแล้ว ยุโรปก็นานหลายปีไม่เคยเห็นป่า ป่าก็เป็นป่าปลูกเกือบหมดเลย ป่าธรรมชาติก็น้อยมาก ป่าสนก็มีแต่ต้นสนเต็มไปหมดเลย ป่าธรรมชาติก็หายไปตั้งนานแล้ว ชีวิตของเราระหว่างเมืองกับชนบทแทบไม่ต่างกัน เป็นชีวิตที่มีความเคร่งครัดเป็นชีวิตที่ทุกคนดิ้นรนอยู่ในกฎในระเบียบจะเลี้ยงหมาตัวหนึ่งจะต้องไปขออนุญาตไปจดทะเบียนต้องไปไหนเขาดูว่าหมาเป็นยังไง และต้องเสียภาษี เสียอะไรต่อมิอะไร ถ้ามันเห่ากันเพื่อนบ้านก็ต้องไปแจ้งตำรวจจับอีก แล้วเวลาออกจากบ้านต้องเอาเชือกผูกปาก เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเห็นข่าวหมาไปกัดใครต่อใคร ถ้ากัดแบบบ้านเราไอ้ร็อดไวเลอร์เนี่ยติดคุกปรับ แถมปรับเป็นเงินเป็นแสนเป็นล้านอะไรก็ไม่รู้แหละของเราไม่มีหรอกสิ่งนี้ ของเราปล่อยตามธรรมชาติ คนไทยเรายังคิดว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ฝรั่งเวลาพาหมาออกจากบ้านต้องมีปลอกปากเหมือนจราจรบ้านเราพกถุงพลาสติก ถ้ามันขี้ที่ไหนจะต้องเก็บใส่ถุงพลาสติกเอาไว้ ฝรั่งถึงบอกว่าเมืองไทยมีธรรมชาติอยู่ไง เค้าถึงอยากจะมาเมืองไทยก็ไม่อยากจะอยู่แถวกรุงเทพฯ อยากจะไปเชียงใหม่ไปภูเก็ต อยากจะไปสมุย อยากไปธรรมชาติเพราะยังมีอยู่ เพราะประเทศไทยมีธรรมชาติสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไทยที่ผลิตอาหารไปเลี้ยงคนในโลก อุดมสมบูรณ์ขนาดคนจีนบอกว่าตะเกียงเสียบบนดินมันก็งอกได้ ที่จีนเค้าล่ำลือกัน อยากจะไปเมืองไทย และก็มาเมืองไทยในระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมาเป็นล้านๆ คน แต่คนไทยไม่เคยเห็นพวกนี้ แล้วก็ทำลาย วันนี้ฝรั่งยังคิดว่าเรามีสิ่งเหล่านี้ เค้าไปอยู่ที่เชียงใหม่ ไปถึงเชียงใหม่เค้าไม่อยากนอกโรงแรมสูงๆ เค้าอยากนอนโรงแรม 2 ชั้น คนที่นั่งฟังผมที่ห้างเรดิสันก็นั่งฟังผมอีกรอบนะจะได้จำ คราวหน้าถ้าผมไม่สบายหรือไปไหนไม่ได้ก็ไปพูดแทนผมละกัน ที่เชียงใหม่คนอยากจะไปพักที่โรงแรมที่ว่าซึ่งมีอยู่ 16 หลัง เป็นบ้านคล้ายๆ บ้านไทยธรรมดาและก็มี 2 หลังแยกกัน แล้วก็มีห้องน้ำมีระเบียงออกมาดูป่าเขา ดอยสุเทพ ต้นไม้ธรรมชาติ ต้นไม้ปลูกใหม่ที่มีทุ่งนาข้างล่างที่เขาจัดให้นักท่องเที่ยวทุกวันจะมีควายไถนาให้ดูควายที่มีเงินเดือนเกือบ 4,000 คนไถได้ 6,000 มากกว่า ควายเล็กน้อย ปรากฏว่าคนอยากไปพักที่นั้นทั้งที่ค่าที่พัก 30,000 บาท นายกทักษิณ ก็มาจัดประชุม ACD กันที่นี่แหละ สมเด็จพระราชินีเดนมาร์กก็อยากจะเสด็จที่นี่ ใครๆ ก็อยากจะไปที่นี่ พรทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาลก็อยากจะไปพักที่นี่ คุณพรทิพย์จำได้ไหมนางงามจักรวาลที่รักเด็ก แต่ไปรักคนแก่ แกพาไปนอนที่เนี่ย คืนละแสน อยู่ในปราสาทเล็กๆ เหมือนวอลท์ ดิสนีย์ ปราสาทที่นี่มาจากทางใต้เยอรมัน ชื่อปราสาทนอยท เซาว์น่ารักเหมือนดิสนีแลนด์เหมือนแดนเนรมิตที่เพิ่งเลิกไป ไปนอนที่นั่น 13,000 ทำไมอยากไปนอนนักที่นั่น ทำไมอยากไป ธรรมชาติครับ ทำไมไม่ไปนอนหมู่บ้าน ไม่กล้าไปเพราะยังไม่พร้อมที่จะรับคนอย่างนี้ ทำไมบาหลีเขารับเขาก็มีหมู่บ้านที่เขาสร้างบ้านให้นักท่องเที่ยวมานอนนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้นอนบ้านแต่ไปนอนบ้านที่เขาปลูกให้นอนมีเป็นร้อยหลังเลยนะบางหมู่บ้าน อยากจะไปเพราะมันเป็นอิสระมันก็อยู่ในหมู่บ้านนั้นแหละและมันก็เหมือนกับที่รีเจนท์ แม่ริมนั้นแหละต่างกันที่นอนที่นั้น 800-500 ไม่ต้องจ่าย 30,000 มีเตียงสะอาดมีผ้าปูเตียงมีห้องน้ำสะอาด ตื่นขึ้นมากินกาแฟตอนไหนก็ได้ ถามว่าลงทุนเยอะไหมก็ไม่เท่าไรบางแห่งก็มีต่างชาติลงทุนให้มาสร้างได้แล้วก็บอกว่าผมขอลาพักปีละประมาณ 2-3 อาทิตย์นะ 10 ปี 15 ปี พักฟรี แล้วผมจะสร้างบ้านให้และที่เหลือที่ผมไม่อยู่เป็นบ้านคนนั้นแหละ ก็มีชมรมสมาคมของคนยุโรปในออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เขาพร้อมที่จะทำพวกนี้ได้ถ้ามีการจัดการที่ดี พร้อมที่จะลงทุนให้การจะไปนอนหมู่บ้านเป็นเรื่องยาก ผมเนี่ยทำงานพัฒนาชนบท การที่จะไปนอนหมู่บ้านรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่โปรโมตโฮมสเตย์ให้เป็นที่รู้จัก มันเหมาะที่จะไปค้างคืนเดียวถ้าจะไปนอน 2 เดือน ต้องเหมือนที่จังหวัด นนทบุรี มีบ้านริมน้ำ บ้างอิงน้ำ ใครจบราชภัฏไปเป็นผู้จัดการที่นั้นเดือนละ 50,000 – 60,000 หากฝรั่งไปพักคนไทยไปพักคือหนึ่งเสียคืนละ 700-800 บาท เป็นบ้านที่อยู่ในสวนผลไม้จะตื่นกี่โมงก็ได้ จะไปพายเรือก็ได้ จะนั่งทำงานเหมือนฝรั่งอิตาลีที่เขาออก TV ไง กลุ่มแม่บ้านก็จะจัดเตรียมอาหารให้และคิดค่าอาหารค่าอะไรก็ไม่แพงเลย 700-800 บาท ต่อวัน อย่างนี้จึงเป็นสวรรค์ของฝรั่งดีกว่าการที่จะไปนอนโรงแรมเยอะเลยเป็นธรรมชาติ
การโปรโมตทางเวบไซท์จะเสียสักกี่บาท เดี๋ยวนี้ทำเว็บไซท์ฟรีอีกต่างหาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็สามารถเข้าไปดึงเพื่อไม่ต้องการผ่านบริษัททัวร์ ไม่ต้องการผ่านไกด์หรืออะไรเลยพอลงดอนเมืองแล้วไปนอนที่นั้น 2-3 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน อยู่กับธรรมชาติที่มันหายไปแล้วจากชีวิตของบ้านเขา บอกได้อย่างนี้ทำได้หรือเปล่า


ตอนนี้คนคืนสู่ธรรมชาติแต่เรากลับทำลายธรรมชาติ เราใช้สารเคมีไปเท่าไร ตัดไม้ไปเท่าไร เราอยากจะทำเลียนแบบฝรั่งหมดเลย บ้านเรือนไทยที่อยู่เย็นเป็นสุขได้เนี่ยเราก็ต้องการทำบ้านเป็นตึกเหมือนบ้านฝรั่ง เหมือนบ้านเมดิเตอเรเนียน เสน่ห์อยู่ที่วิถีชีวิตของชาวบ้าน คนไทยมีเสน่ห์ครับ เป็นคนที่รับแขกได้เพื่อนผมที่เป็นชาวต่างชาติบอกว่าเมืองไทยมีศักยภาพที่จะรองรับนักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่ 10-11 ล้านคน แบบเนี่ยกระจอกมากเลย น้อยกว่ามาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง เขามีตั้ง 14-16 ล้านคนต่างหาก คนไทยมีเสน่ห์ คนไทยมีอัธยาศัยดี ยิ้มให้เขาอยู่ เหยียบเท้าเขาขึ้นรถเมล์กลับยิ้มให้เขาอีกต่างหาก ฝรั่งเพื่อนผมเค้าลงรถเมล์เค้าบอกว่าเขาลงมาจากรถเมล์มีคนเหยียบเท้าแล้วยิ้มให้เขา ผมบอกว่าอย่างนั้นเขายิ้มขอโทษคุณ เค้ายิ้มแสยะหรือเปล่า บอกเปล่า รู้จักมั้ยยิ้มมีหลายยิ้ม ฝรั่งเค้าแยกไม่ออก เค้ายิ้มขอโทษคุณต่างหาก เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้คนไทยมีอัธยาศัยไมตรีต่อชนต่างชาติ เค้าประทับใจมากแต่การจัดการของเขาคงไม่ดีพอกระมัง คนเค้ามาเที่ยวของเราบ้านเราน้อย ถ้าเทียบกับ 50-60 ล้าน ของสเปนของฝรั่งของอิตาลีแล้วโห...น้อยมากคนไปเที่ยวที่เมืองซอลส์บวก เมืองเดียวที่อยู่ในออสเตรเลียใกล้ๆ กับชายแดนของเยอรมันปีละ 7 ล้าน ซอลส์บวก เช่น เมืองอะไรนึกออกมั้ยเป็นบ้านเกิดของโมซาร์ท ที่นี้มีภูมิประเทศสวยงาม ถามว่าคน 7 ล้านคนไปเที่ยวเมืองซอลส์บวก ทำให้เมืองเค้าเจ็บมั้ย ไม่เป็นหรอกเค้าจัดการเป็นถ้าจัดการไม่เป็นไม่ต้อง 7 ล้านหรอก แค่ 7 หมื่นก็ยังหมดแล้ว 7 พันขั้นที่เขาหลวงนครศรีธรรมราชก็เจ๊งต้องไปปรับปรุงใหม่ วันนี้ถ้าเราอยากจะให้การท่องเที่ยวมันเพิ่มขึ้น 20 ล้านเหมือนที่นายกฯทักษิณ อยากจะให้เป็นเนี่ยนะ หรืออยากจะให้มันเพิ่มขึ้นเยอะภาพที่เรามีถ้าปรับวิธีการคิดและวิธีการจัดการใหม่พวกเราต้องเข้าใจว่าๆ วันนี้ ความฝันของคนทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่มีศักยภาพในการเดินทางไปท่องเที่ยว คืออยากจะไปหาธรรมชาติ เรามีให้เขามั้ย เรามีแบบไหน


โออิตะ เป็นเมืองที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง บ้านเรามีความรู้ภูมิปัญญาทางบ้านเมืองเรายังไม่มีไฟฟ้า ผมว่าโรแมนติกออก ในชีวิตฝรั่งเขาอยากทำอย่างไรถึงจะได้สิ่งเหล่านั้นการท่องเที่ยวที่ผมคิดว่ามีปัญหาให้กับชุมชนคือการที่เราไปแล้วก็ทำให้ชาวบ้านคิดอย่างเดียวว่าทำการท่องเที่ยว แล้วจะรวย โครงการ 20-30 โครงการ ตั้งแต่ 20-30 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 มีการเริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติปีที่ 1 แผนที่ 1 ทุกกระทรวงก็เอาโครงการให้ชาวบ้านทำหมดรวมทั้งกองทุนหมู่บ้าน รวมทั้ง OTOP แต่ทำไปแล้วทำไมไม่เห็นยั่งยืนเลย ชาวบ้านไม่รวยขึ้น ยังมีปัญหาเป็นหนี้สิน คือการพัฒนาแบบแยกส่วนการพัฒนาซึ่งมาจากข้างบนอย่างนี้มันไม่ยั่งยืนหรอก ถ้าการท่องเที่ยวทำแบบเดียวกันก็จะประสบชะตากรรมแบบเดียวกันพอคนส่งเสริมเลิกก็เลิกไป พอเงินหมดก็เลิกไป แต่ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแล้วก็ใช่ ชาวบ้านสอนง่ายเรียนรู้เร็ว ไปบอกให้ทำแชมพูดอกอัญชัน ปะคำดีควาย ว่านหางจระเข้ ทำเป็นหมด แต่ขายไม่ออก ผมเข้าไปหมู่บ้านไหน ชาวบ้านก็บ่นบอกอาจารย์หาตลาดให้หน่อย OTOP เราเจ๊งหมดแล้ว ผมก็บอกว่า ผมชื่อเสรี นามสกุล พงศ์พิศ ไม่ใช่ เสรี นามสกุล วงศ์มณฑา ต้องไปหาคนนั้นเค้าทำตลาดเก่ง สุดยอดฝีมือเลยเค้าก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นอาจารย์ช่วยซื้อให้หน่อยเป็นขวัญและกำลังใจให้ชาวบ้าน ไปไหนก็ซื้อหมด สระจนหมดไปครึ่งศีรษะแล้วที่เห็นนี่ เพราะว่าชาวบ้านทำเป็นหมดไง สูตรนครศรีธรรมราชกับสกลนครกับอุดรธานี แต่ละแห่งจะมีสูตรของตัวเองหมดเลย แต่ว่าทำไมคนที่ทำแล้วเจ๊งละ เราขายข้าวส่งข้าวอันดับหนึ่งของโลกนะครับ ยางพาราอันดับหนึ่งของโลกนะครับ มันสำปะหลังอันดับ 1 ของโลก สัปปะรด อันดับ 1 ของโลก และ Top ten อีกไม่รู้เท่าไร เราคือครัวของโลก แต่ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกตัวเองให้อิ่ม ต้องโครงการอาหารกลางวันเด็ก โครงการนมเด็ก แปลกดีนะ แสดงว่าคนที่ส่งข้าวอันดับ 1 ของโลก คนที่ผลิตข้าว ยาง มันสำปะหลัง สับปะรด ไม่รวย จนหมดเลยเป็นไปได้ไง นี่คือปัญหาไง เพราะงั้นถ้าเราจะทำท่องเที่ยวนะเราจะต้องมาคุยกันว่าท่องเที่ยวยั่งยืนจะต้องไม่เป็นแบบนี้ จะต้องเน้นส่วนหนึ่งของอันนี้ ซึ่งชุมชนเค้าคิดขึ้นมาเรียนรู้ทำข้อมูลวางแผนลงมือ และราชการเข้าไปเสริมไปเติมเต็มให้ไปเสริมให้เค้าไม่ใช่ไปส่งเสริมอื่นๆ ให้ด้วย ชาวบ้านก็ทำเอาเป็นเอาตาย แล้วก็ตายสมอยาก ทำยังไงจึงจะให้ชาวบ้านเรียนรู้เป็นอันดับแรกและก็ทำแบบนี้ให้ท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจของชุมชน ถ้าอย่างนั้นแล้วใช่เลย ยั่งยืนเลยแต่ถ้าอยู่ดีๆ พี่น้องทุ่มทำเรื่องท่องเที่ยวเอาเป็นเอาตาย มันก็จะตายสมอยาก เพราะว่าที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำยังไงจะให้มันเป็นส่วนหนึ่งขอบระบบ ถ้าถามว่าที่นี้มีที่ท่องเที่ยวมั้ย มีครับ มีน้ำหินอำเภอนาน้อย มีคนไปเที่ยวเยอะเลย ชาวบ้านเอาของมาขาย เอาหัตถกรรมมาทอ ผ้ามาทอ ขายไม่ทัน ทำไม่ทัน ฝรั่งมาอยากจะตีหม้อ คนที่นี่ไม่ได้ปั้นหม้อ ตีหม้อ ตีเสร็จแล้ว ก็เขียนชื่อตัวเอง ตีเสร็จเอาไปเผาจนสุกขอเอากลับบ้านตัวเองเป็นที่ระลึก ถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมันอยู่ได้ มันยั่งยืนด้วย ทำยังไงถึงจะให้ท่องเที่ยวมันอยู่ในการทำแผนแม่บทของชุมชน ทำยังไงให้เค้าผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบชีวิตของเค้า บางแห่งใช้เงินเป็นล้านได้แค่ป้ายท่องเที่ยวเกษตร ผมไปเจอมาแล้วหลายแห่ง ในหมู่บ้านไม่มีประโยชน์อะไรเลยแล้วป้ายกีฬาเหมือนหลายฝ่ายที่ฟัง ชุมชนเข้มแข็งแต่ป้าย โรงเรียนสีขาวก็สีขาวแต่ป้าย อึ้ม เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราไม่ควรที่จะให้ชาวบ้านฝันแบบนั้น แต่ควรจะให้เค้า เนี่ย มาคิดถึงระบบเศรษฐกิจของเค้าไม่ใช่สร้างนิยายพรุ่งนี้รวยอยู่นั่นแหละ ทุกวันที่ 1, 16 ตอนเช้ามาแล้ว ตอนเช้ามาแล้ววันนี้รวยรู้จักมั้ย เค้ามาขายอะไร ขาย ล็อตเตอรี วันนี้รวยๆ ทำไมไม่ซื้อเอง มาขายทำไม นี่คือนิยายของการพัฒนาไง ผมอยากจะบอกว่า ดร.อมาตยา เซนนะ รางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย ทำอย่างไรชุมชนจะคิดเรื่องระบบเศรษฐกิจและระบบเศรษฐกิจมีการท่องเที่ยวด้วย ถ้าอย่างนี้ใช่เลย ยั่งยืนได้ ถ้าจะทำอะไรต้องพึ่งตัวเองได้ก่อนสิ นี่ที่ในหลวงสอนนะครับ ในหลวงเศรษฐกิจพอเพียง ท่านบอกว่าให้ครอบครัวพึ่งตัวเองให้ได้ให้พึ่งพาอาศัยกันในชุมชนในเครือข่าย และถ้าเก่งจริงจะเอาไปค้าขายก็ได้ พัฒนาเป็นธุรกิจ แค่ 40 ปี เราทำตรงกันข้ามไง ให้เสี่ยงเยอะ ให้ปลูกเยอะๆ จะได้รวย เราจะมาคิดทำมาค้าขายเลยโดยไม่คิดจะพึ่งตนเองจากหาอยู่หากิน มาทำมาค้าขาย แล้วก็ไม่เคยรวย ซื้อที่คิดว่ามันเป็นสูตรสำเร็จไง เมื่อคืนดูทีวี สู้แล้วรวย เราสู้แล้วทำไมจนล่ะ ไปเลียนแบบเค้าได้ยังไง คือเราไม่มีฐาน พึ่งตนเอง ฐานพอเพียงแล้วเรากระโดดไปทำธุรกิจ ชาวบ้านยังพึ่งตนเองไม่ได้ยังไม่มีฐานการท่องเที่ยว เจ๊งนะครับ จะบอกให้ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้เราไปชวนชาวบ้านทำโดยไม่มีฐานและไม่มีความพร้อม ไม่ต้องเอาหรอก 20 ล้าน เอา 11-12 ล้าน ก็ได้ค่อยๆ ไป อย่างหนักแน่นมั่นคง ดีกว่าเยอะเลย อาจจะถึง 50 ล้าน ก็ได้ไม่เห็นมีปัญหาเลย ถ้ามันหนักแน่นจริงๆ คนอยากมาเที่ยว มีการจัดการดี นี่ผมอยากพาคนไปเที่ยวจังเลย พาไปอิตาลี ฝรั่งเศส อยากพาไปเยอรมัน ไปดูว่าเค้าจัดการท่องเที่ยวยั่งยืนเนี่ย เค้าทำกันยังไง เค้าจัดการท่องเที่ยว 20-30 หมู่บ้านที่อยู่แถวยอง นี่เค้าทำกันยังไง ทุกเสาร์-อาทิตย์ เค้าจะมีการจัดการเพื่อรองรับคนที่จะมาเมืองยอง ขับรถไปเที่ยว พาครอบครัวไป จะไปกินข้าวร้านไหน เค้าก็เปิด เป็นพิเศษ แม่บ้านไหนทำอาหารอร่อยที่สุด เค้าก็จะจัดให้มาทำ โฆษณาประชาสันพันธ์อยู่ที่ไหน ที่ไหนมีนม มีเนย มีไวน์ มีวิสกี้ มีเหล้า มีของพื้นบ้านที่ไหนๆ 30 หมู่บ้านเนี่ยรวมตัวกันทำท่องเที่ยว สุดสัปดาห์เอาแต่คนในเมืองมาเที่ยว คนในเมืองเขาเบื่อเขาก็ออกไปชนบทคนใน กทม. ถ้าเค้าอยากจะออกไปรัศมี 1 ชั่วโมงขับรถ เราให้บริการอะไรเค้าบ้าง คิดอะไรไม่ออก ก็พาไปเที่ยวบางแสน พัทยา ชะอำ หัวหิน แค่นั้นนะจริงๆ แล้วมีอีกเยอะแยะเลย เช่น แม่กลองก็มี มหาชัยก็มี ไปถึง อ่างทอง สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี นครนายก ไปได้หมดเลย ถามว่าเรามีการจัดการอะไรเพื่อที่จะรองรับให้คนที่จะไปเที่ยวมั่นใจว่าเค้าไปเที่ยงตรงนี้เค้าจะพาลูกพาเต้าเค้าไม่ได้ไปทะเลอย่างเดียว เค้าอาจจะล่องตามคลอง มีอะไรที่บริการเค้าได้มั้ย ตั้งบริษัทขึ้นมาบริการเค้าได้มั้ย แล้วเราลองคิดดูว่าในรอบกรุงเทพฯ เนี่ยเราจะทำให้คนกรุงเทพ เนี่ยมีโอกาสไปเที่ยวรอบๆ กรุงเทพฯ ในระยะ 1 กิโลเมตร ให้มีทางเลือกซัก 10, 20, 30, 40 ทางเลือกได้มั้ย ให้ข้อมูลได้มั้ยว่าจะไปเที่ยวยังไง นี่คือการทำการจัดการเพื่อให้เกิดทางเลือก ให้กับผู้คนว่าจะทำยังไง ผมก็ไม่อยากจะให้เราไปด่วนทำให้ชาวบ้าน ได้พร้อมทำยังไงที่เค้าจะมีฐานวิสาหกิจชุมชนแล้วก็มีเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ดีๆ ให้เค้าไปอยู่ทุนนิยม เป็นไปไม่ได้หรอก ชาวบ้านเค้าไม่พร้อม อย่างมากแค่ไปซื้อมือถือ ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ ไปซื้อทีวี เสร็จแล้วเงิน 1 ล้านก็หายหมด แล้วก็เข้าไปอยู่ในวงจรชีวิตแบบทุนนิยม แล้วชาวบ้านก็มีปัญหา แล้วในสภาพอย่างนี้จะให้เค้าไปอยู่ในท่องเที่ยวชุมชนพอเพียงได้หรอ ผมว่ายาก ทำยังไงถึงจะปรับวิธีคิดให้มันได้ซะก่อนเพื่อเค้าจะได้จัดการระบบเศรษฐกิจให้มันมีระบบเศรษฐกิจของเค้าขึ้นมาให้ได้ซึ่งตรงนี้ชาวบ้านทำได้นะ เพราะว่าตอนนี้กำลังทำกันอยู่ทุกตำบลในประเทศทำแผนแม่บทชุมชน ทำกันอยู่ประมาณ 1,000 กว่าแห่ง 2,000 กว่าแห่ง ค่อยๆ เกิดขึ้น เมื่อมีระบบอย่างนี้เนี่ย เราจะได้อะไร เราก็จะได้ความพร้อมในการจัดการตนเองและจัดการรองรับคนที่จะมาบ้านเรา คนที่จะมาบ้านเราเค้าก็จะมีสมุนไพร ยา ครีมสปา มีนา มีสวน ฯลฯ มีเป็น 20-30 อย่าง นี่คือศักยภาพของท้องถิ่นแต่มันต้องมีการเรียนรู้ อยู่ดีๆ มันเรียนรู้ไม่ได้หรอกแล้วเรียนรู้ไม่ใช่เราไปสอนไปบังคับไป ยัดเยียดให้เค้าแต่ให้เค้าค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยทำข้อมูล ค่อยๆ วิเคราะห์ แล้วก็ทำแผนขึ้นมา ท่องเที่ยวนี้มันโยงใยไปถึงเรื่องอาหาร ผักพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง ผักพื้นบ้าน ปลาแม่น้ำ สามารถที่จะโยงไปได้เป็นร้อยแปด สามารถที่จะโยงไปได้อีกร้อยแปดเหมือนที่โออิตะสามารถที่จะให้คนไปเที่ยว 4-5 ล้านคนต่อปี มีอะไรมีน้ำพุร้อน 40 ปีมาแล้ว มีแค่น้ำพุร้อน แล้วก็เห็นแล้วก็มีที่กันดารมาก ใครไปโออิตะมาแล้ว โอ้โห สู้ระนองไม่ได้ สู้แม่ฮ่องสอนไม่ได้ สู้ไม่ได้เลย แต่ทำไมที่แม่ฮ่องสอนก็มีน้ำพุร้อน ระนองก็มีน้ำพุร้อน แต่ทำไมมีนักท่องเที่ยวแค่ไม่ถึงแสนเอง โออิตะมี 4-5 ล้าน เพราะโออิตะสามารถจัดท้องถิ่นของเขา จัดระบบเศรษฐกิจชุมชนของเค้า มะนาวลูกเดียวทำได้ 500 อย่าง ทำได้ไงต้องใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ 3 อัน บวกกันทำให้ทรัพยากร 1 อย่าง เช่น 500 อย่าง ของเรามะนาว 500 ลูก ทำได้ 1 อย่าง แพ็คใส่ถุง ขายถุงละ 10 บาท ของเราสมบูรณ์เกินไปเอาไม้ตะเกียบเสียบลงดินยังงอกได้เราก็เลยประมาทไง เอาทรัพยากรไปขายหมด ไปจับปลาธรรมดาไม่พอไปช็อตปลา ไประเบิดปลา จนหมดเกลี้ยงไปหมด ไม่เหลือเลย มท1 ไปโออิตะมา ท่านวันมูหะหมัด นอร์ มะทา กลับมาเล่าให้ฟัง ผมรอคิวไปโออิตะต้องรอตั้งนาน ใช้เส้นผู้ว่าโออิตะขอลัดคิวหน่อยท่าน ไม่งั้นเราไม่ได้ไปซักที ได้ไปนอนที่โออิตะคืนหนึ่ง ได้ไปนอนบ้านไม้ 2 ชั้น ท่านเล่าให้ฟังนะ ผมนอนอยู่ชั้นบนห้องหนึ่งเล็กๆ แคบๆ ค่าที่พักอาหารเช้า 20,000 กว่าบาทต่อวัน ปลาตัวนี้มาจากแม่น้ำข้างหลังนะ ท่านรัฐมนตรีคนญี่ปุ่นบอกตะเกียบมาจากกอไผ่ข้างหลังนะครับ จริงๆ แล้วโออิตะยิ่งใหญ่ ด้านรายได้ที่มาเที่ยวโออิตะ 4-5 ล้านคน มาซื้อมากินอยู่มาบริโภคแล้วมาจ่ายเงินที่นั่น กลับบ้านผมก็มีของมาฝากติดไม้ติดมือมาฝาก ถ้าหากถามว่าบ้านเราทำได้มั้ย บ้านเราก็ทำได้ โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีใช้เพื่อให้เพิ่มจำนวนผลผลิต โดยจะต้องแข่งกันภายในหมู่บ้านทำให้เกิดคุณภาพไง มะนาวลูกหนึ่งทำให้ได้ 500 อย่างซิ คนมานี้ซื้อได้มีทางเลือกได้ไม่ใช่มะนาวสดๆ อย่างเดียวนี้ คือ วิสาหกิจชุมชน ท่องเที่ยวต้องออกมาอย่างนี้ซิ การท่องเที่ยวต้องทำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ว่าทุนของเขาไม่ใช่มีแค่เงินนะ แต่ทุนของเค้ามีทรัพยากร ทุนของเค้ามีความรู้ภูมิปัญญา ทุนของเค้ามีทางสังคมวัฒนธรรม ความรู้ของเค้าเป็นอะไรที่หาใหม่ได้ ไม่ใช่หาสูตรสำเร็จอย่างเดียว ตลาดของเค้าไม่ใช่เพียงแค่ในเมืองแต่ว่าที่ตลาดหมู่บ้านของเค้า เอาหมู่บ้านเป็นตลาดใหญ่ ซุปเปอร์มาเก็ตใหม่คนมาเที่ยวมาซื้อมากินมาบริโภคที่เป็นรายได้ชนิดหนึ่ง ก็ตรงนี้มันต้องมีคำ 2 คำ ข้างล่างข้างบนกำกับไม่งั้นไม่มีทางสำเร็จ การเรียนรู้ และการจัดการ ถ้าชาวบ้านได้เรียนรู้ ได้จัดการเหมือนกับพวกเรานี้ ถ้าเราเรียนรู้และเข้าใจ และมีการจัดการที่ดี ชาวบ้านก็จะทำเรื่องการท่องเที่ยว แบบที่มันสร้างสรรค์ แบบที่มันทำให้เค้าเนี่ยได้ไม่ได้ แค่เพียงเงินอย่างเดียว จะได้ความรู้สึกที่ดี ได้ความเข้าใจที่ดี ได้คุณภาพชีวิตที่ดี ก็สามารถพึ่งพาตนเองได้ครับ ขอบคุณมากครับ


เครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน


โดย ดร.ละเอียด ศิลาน้อย ผู้อำนวยการสำนักงานธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา


ในเรื่องการท่องเที่ยวและการพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน ไม่มีการอธิบาย คงจะตั้งปัญหาให้นักศึกษาหาคำอธิบาย เริ่มต้นต้องรู้จักการท่องเที่ยวก่อน การท่องเที่ยวคืออะไร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวคืออะไรทุกคนเข้าใจว่าการท่องเที่ยวเป็นเรื่องเข้าใจง่ายๆ เป็นการท่องเที่ยวธรรมดา ใช้สามัญสำนึกก็รู้แล้วว่าการท่องเที่ยว คืออะไร งั้นแม้แต่คนที่เข้ามาสัมผัสกับการท่องเที่ยวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระยะสั้นๆ คงให้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ข้อเสนอแนะอะไรมากมายทีเดียว ซึ่งในการท่องเที่ยวเอง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเองมีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งเกินกว่านั้น ซึ่งนักศึกษา ต้องค้นให้เจอว่า การท่องเที่ยวคืออะไร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคืออะไร ซึ่งบวกอุตสาหกรรมการบิน อุตสาหกรรมการขนส่ง อุตสาหกรรมรถยนต์ เรารู้ว่าคืออะไร ถ้าพูดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเรามีความชัดเจนแค่ไหน ต้องไปค้นกันเองในอุตสาหกรรมมีใครอยู่ในอุตสาหกรรมนั้นบ้าง ไม่เฉลย นักศึกษา ต้องไปค้นเอาเอง ในส่วนของคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีใครบ้าง ถ้ามองอุตสาหกรรมรถยนต์ ถ้าเทียบดูในอุตสาหกรรมรถยนต์มีใครบ้าง มีผู้ออกแบบ มีผู้ผลิต มีผู้จัดการ มีพนักงานขาย อะไรอีกเยอะแยะ มีคนซื้อ คนขาย และในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มีใครอยู่ในนั้นบ้าง เราต้องไปค้นให้เจอ จำแนกมาให้หมด จัดหมวดหมู่ให้ได้ว่าใครบ้างอยู่ในนั้น ถ้าได้ว่าใครอยู่ในนั้นบ้างแล้ว ค่อยมาดูว่าแต่ละคนควรจะมีบทบาทอย่างไรต้องไปหาเอง ซึ่งแต่ละกลุ่มที่เราเห็นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีหน้าที่อะไร มีบทบาทอย่างไร โดยมีพื้นฐานอยู่ที่การพัฒนาการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน ซึ่งในเอกสารที่แจกไป การพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืนคือการพัฒนาที่คนรุ่นปัจจุบันได้ประโยชน์ในขณะเดียกวันที่สืบทอดต่อไปให้คนรุ่นหน้าด้วย ดังนี้ชัดเจนอยู่แล้ว เอกสารบอกแล้ว ด้วยความคิดความเข้าใจจุดนี้ เมื่อแต่ละคนอยู่ในสารพัดท่องเที่ยวมีใครบ้าง ควรมีบทบาทอะไร ก็กำหนดบทบาทได้เพื่อให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เช่นในฝ่ายหมวดที่เป็นรัฐบาลทั้งหมด จะต้องทำอะไรบ้าง เราต้องไปแตกเองว่ารัฐบาลมีใครบ้าง ไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยวก็ดี, กระทรวงก็ดี, ตำรวจท่องเที่ยว, ตม. อะไรก็แจกแจงว่ามีใครบ้าง แล้วแต่ละคนควรจะมีบทบาทอย่างไรเพราะว่ามันเยอะ การท่องเที่ยวเป็นเรื่องของการรวมๆ ก็หลายๆ อย่าง ตัวเอง ตัวมันเองมันไม่มี ถ้าไปดูการท่องเที่ยวเจริญไม่รู้จะไปดูอะไร ดูโรงแรมเจริญก็อุตสาหกรรมโรงแรมที่พัก ดูการคมนาคมก็อุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่ง แต่มันรวมๆ หมดทุกอย่าง มันถึงเยอะแยะมากเพราะงั้นต้องดูให้ละเอียดทุก Sector แต่ละ Sector ทำอะไรบ้างและ Sector ไหนก็เกิดผลกระทบในทางลบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถ้าพูดถึงเรื่องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ต้องพูดถึงทรัพยากรการท่องเที่ยว อะไรคือทรัพยากรการท่องเที่ยวบ้าง เราต้องจัดหมวดหมู่ให้มันดี อะไรเป็น Resort ของการท่องเที่ยว แล้วถ้าเรียนการท่องเที่ยวมาแล้วก็บอกได้ว่ามันคืออะไรบ้าง แล้ว Resort แต่ละอย่างมันจะมารวมไว้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ หรือศิลปวัฒนธรรม อะไรก็แล้วแต่ เราจำแนกมาหละกัน แยกมาให้ได้ ทำยังไงให้มันอยู่ได้ ทำยังไงให้มันต่อเนื่องต่อไป ซึ่งควรจะโจมตีว่าการท่องเที่ยวหรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายศิลปวัฒนธรรม ข้อความเป็นจริงหรือไม่จริงเราหรือไม่จริงเราต้องไปคิดดู เพราะในเชิงหน้าคือ สิ่งเหล่านี้เป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวสวย ถ้าพรุ่งนี้ล่มสลายหมด อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็อยู่ไม่ได้ งั้นความจำเป็นที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องพิทักษ์อันนี้ไว้ ต้องรักษามันเอาไว้ให้ได้ งั้นตัวมันต้องไม่ใช่ตัวทำลายทรัพยากร ต้องไม่ใช่ตัวที่ทำลายศิลปวัฒนธรรมถ้าหากว่าสิ่งนี้เป็นจุดขาย นี่เป็นตัวอย่างให้ท่านไปคิดต่อ ว่ามีทรัพยากรในการท่องเที่ยวมีอะไรบ้าง Product ในการท่องเที่ยวมีอะไรบ้าง แล้วท่านจะรักษามันยังไง จะพัฒนายังไงให้ยั่งยืน ไม่ใช่เฉพาะธรรมชาติที่ยั่งยืน ที่มองแต่พวกป่าเขาลำเนาไพร ไม่ใช่การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ไปมากกว่านั้นมีมากกว่านั้นอีก วิถิชีวิตของเราก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องอนุรักษ์ไว้ ถ้าเราใช้ชีวิตตะวันตกทั้งหมดเนี่ย นักท่องเที่ยวมาดูก็ไม่เห็นอะไร กลายเป็นว่าการจะดูชุดไทยก็ไปดูในพิพิธภัณฑ์ ไปดูในโรงละคร ไปดูในร้านอาหาร มันก็ไม่ได้มันต้องดูทั้งหมด งั้นนอกจากดูว่า Resort คืออะไรแล้วเนี่ยเราพัฒนาเป็น Product Product การท่องเที่ยว คืออะไร สินค้าและการบริการทางการท่องเที่ยว คืออะไร สินค้าและการบริการทางการท่องเที่ยวคืออะไร นักท่องเที่ยว เค้าเข้ามา เข้ามาบริโภคอะไร คำถามที่ผมถามทั้งหมด เพราะมันจะต่อเป็นภาพถ้าท่านตอบได้มันจะต่อเป็นภาพ เหมือนจิ๊กซอว์เป็นภาพรวมของลักษณะการท่องเที่ยวได้ ในองค์ประกอบของการลักษณะการท่องเที่ยวทั้งหมด มีตั้งแต่ที่มีอาหาร การเดินทาง การอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย แหล่งท่องเที่ยว การบริการทางการท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เนี่ย อะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด อะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญอันดับ 2 อะไรที่เป็นหัวใจของการท่องเที่ยว ถ้าสิ่งที่มีปัญหา การท่องเที่ยวจะล่มสลาย อะไรเป็นสายเลือดของการท่องเที่ยว ถ้าสายเลือดถูกบล็อกการท่องเที่ยวโตไม่ได้ อันนี้ท่านต้องเข้าใจ มาถึงเรื่องของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวของใครที่เข้ามาประเทศเรามากที่สุด นั้นคือต่างชาติ และเข้ามาทางไหนมากที่สุด นี่ข้อมูลพื้นฐาน ถ้าท่านศึกษาเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องนี้ท่านไม่รู้ไม่ได้ และเข้ามาเที่ยวอะไรบ้าง เข้ามาทางไหนบ้าง และบอกว่านักท่องเที่ยวทำลายสิ่งแวดล้อมทำลายอะไรเนี่ย ได้ทำลายจริงๆ รึเปล่า น้ำเสียที่พัทยาเกิดจากนักท่องเที่ยว หรือเกิดจากโรงแรมที่ไม่มีการบำบัดน้ำเสีย จริงอยู่โรงแรม อาจจะมีนักท่องเที่ยว ไปพัก แต่มันเกิดจากนักท่องเที่ยว หรือเกิดจากโรงแรม ถ้ามันเกิดจากโรงแรม คือ การจัดการบริหารไม่ดี แต่ไม่ใช่อย่างที่ชีทบอกว่าเป็นเรื่องของการให้บริการไม่ได้มาตรฐานมันไม่เกี่ยว การที่โรงแรมให้บริการได้มาตรฐานหรือไม่ได้มาตรฐานไม่เกี่ยวกับการทำให้สิ่งแวดล้อมพัง และถ้าโรงแรมไม่จัดการสิ่งแวดล้อมตัวเองมันจะพัง ถ้านักท่องเที่ยว ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายสมมติว่าน้ำตก ถ้าไปกินเหล้ากัน ปาขวดไปในน้ำตก ปาเปลือกทุเรียน เปลือกเงาะลงไปในน้ำตก อย่างนี้ทำลาย แต่เดี๋ยวมันหายลงมันลดน้อยละ งั้นมองให้ดีว่า นักท่องเที่ยวทำลายนะทำลายจริงรึเปล่า ทำลายตรงไหน นักท่องเที่ยวมาใช้ชีวิตทางเพศมั่วกันคนก็เลยเลียนแบบ จริงรึไม่คนต้องดูค่านิยมที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงเพราะนักท่องเที่ยวจริงรึไม่ นักท่องเที่ยวทำให้เกิดค่านิยมที่ผิดเพี้ยนไปจริงหรือไม่ ต้องคิดให้ไกลว่าสื่อมวลชน สื่อ TV วิทยุ สื่อภาพยนตร์ เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวที่ทำให้เปลี่ยนแปลงอะไรเป็นตัวกำหนด นักท่องเที่ยวเป็นตัวแปรสำคัญหรือว่าสื่อภาพยนตร์ที่ออกมาเป็นตัวแปรสำคัญ งั้นเราต้องไปคิดเพราะงั้นต้องตอบถ้าเรียนท่องเที่ยวอยู่สนใจท่องเที่ยว ก็ถามว่าการท่องเที่ยวมันทำลายวิถีชีวิต องค์การท่องเที่ยวมันทำลายยังไง นักท่องเที่ยวมาสั้นกางเกงขาสั้นเดิม เราเลยใส่ขาสั้นบ้างหรือาการใช้ชีวิตแบบนี้ เราเรียนแบบจากภาพยนตร์และถ้ามันเป็นเช่นนี้ก็ต้องโต้ตอบเขาให้ได้ว่ามันเกิดอะไร ความผิดเพี้ยนบิดเบือนการร่วมชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปเกิดจากอะไร หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลง เช่น ความสะดวกสบาย นักท่องเที่ยวมาคนเลยมีเงินมีเงินก็เลยซื้อของฟุ่มเฟือยบริโภคกันใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเป็นความผิดของนักท่องเที่ยวหรือเปล่าถ้ายังงั้นอย่าให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวจะได้ไม่ต้องมีเงินเข้ามาในบ้าน โจทย์นี้ตอบง่ายๆ ท่านลองไปคิดดูว่าเราต้องอนุรักษ์ยังไง ถ้าเข้าใจปัญหาทั้งหมดเวลาดูปัญหามันจะเห็นอะไรที่เป็นประเด็นของปัญหา อะไรนั้นไม่ใช่อย่างการจัดการภายใน แหล่งท่องเที่ยวในส่วนของชุมชนในพื้นที่จะเป็น อบต. อบจ. อะไรก็แล้วแต่รวมถึงชาวบ้านที่มาดำเนินการเรื่องการท่องเที่ยวทำถูกทำผิดเป็นเรื่องที่เราต้องเข้าไปดูแลใครเป็นคนให้ความรู้กับชาวบ้านใครเป็นคนให้ความรู้กับอบต. อบจ. เรื่องการท่องเที่ยวทุกวันนี้ อบต. อบจ. หรือประชาชนทั่วไปได้ความรู้เรื่องการท่องเที่ยวจากที่ไหน ตัวนักศึกษาอย่างพวกเราจบมาไม่มีใครยอมถอยกลับไปที่บ้านหรอกไม่มีใครกลับไปทำโฮม สเตย์อย่างท่านกำนันทำหรอกท่านกำนันทำก็คือ ชาวบ้านข้างนอกไม่ได้เข้ามาในระบบนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จต่อให้ท่านเรียนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจนหัวจะผุแต่ท่านไม่ยอมไปทำ ถ้าท่านไม่ลงไปทำนักศึกษาที่จบเป็นบัณฑิตไม่ลงไม่ทำ ก็ขอให้เป็นเผยแพร่ความรู้นี้แต่แล้วแต่ไม่ไปเผยแพร่ช่องไหนจะทำยังไง ทั้งที่เราพูดเรื่องการท่องเที่ยวยั่งยืนเป็นเรื่องของการพูดไปตามสายลมแสงแดดแล้วก็จบกันไปแล้วก็โก้ดี การสัมมนาเรื่องการอนุรักษ์การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ใครก็พูดให้ยั่งยืนกันได้แต่พอเอากันจริงๆ ก็ลงไปทำกันไม่ได้ต้องทางช่องลงให้ได้งั้นความรู้ที่ได้จากการศึกษาต้องถ่ายทอดไปสู่ชุมชนให้ได้ และจะถ่ายทอดลงไปช่องไหนท่านต้องดูเฉพาะหน่วยงานการท่องเที่ยวในประเทศไย ไม่มีหน้าที่ให้ความรู้กับประชาชนมีหน้าที่อย่างเดี่ยวคือเชิญชวนนักท่องเที่ยวเมืองไทยถ้านักท่องเที่ยวตกเมื่อไรเราเดือดร้อน ถ้านักท่องเที่ยวไม่เข้าเป้าเราโดนตำหนิโดนโจมตีแต่การที่ประชาชนไม่รู้เรื่องการท่องเที่ยว ไม่มีความรู้ไม่ใช่เรื่องการท่องเที่ยวเค้าไม่เคยตำหนิ ททท. เพราะไม่ใช่เรื่องการท่องเที่ยวของประเทศไทยแล้วมันเป็นหน้าที่ของใคร ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องของหน่วยงานไหน


ต้องบางคนที่เจอ ถ้าไม่เจอแก้ปัญหาไม่ได้อย่างกระทรวงการท่องเที่ยวก็มีหน่วยงานเรื่องพัฒนาการท่องเที่ยวพัฒนาบริการ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ถ้าดูเขาก็ไม่มีหน่วยงานเผยแพร่ความรู้ตรงนี้ ถ้าเขาพัฒนาแหล่งได้ก็ไปพัฒนาเรื่องการบริการได้แต่ตรงนี้ก็ไม่มีงั้นผู้ให้ความรู้ก็ต้องเลือกสถาบันการศึกษาที่น่าจะเข้ามาทำได้ แต่จะชำนาญด้านไหนผมไม่ทราบงั้นพวกเราก็ต้องช่วยกันคิดว่าทำยังไงให้ความรู้จากที่มีอยู่ในสถาบันไหลสู่ชมชน ไหลสู่ชาวบ้านตอนนี้ท่านผู้ว่าในจังหวัดเป็น CEO ผู้ว่าราชการจังหวัดมีข้อสัญญากับคณะรัฐมนตรี รองนายกว่าจะมีการพัฒนาการท่องเที่ยวพัฒนาหลายๆ อย่าง อย่างหน้าคือเรื่องการท่องเที่ยวที่พัฒนายังไง เราคิดว่าผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวหรือไม่ หรือมีแล้วเพียงพอหรือไม่ในการพัฒนาทางการท่องเที่ยว อันนี้อันแรก ท่านต้องเข้าใจก่อน แล้วท่านต้องมีมือไม้ในการทำงาน อันที่ 2 ผู้ลงมือปฏิบัติ คือ อบต. อบจ. มีความรู้ทางด้านการท่องเที่ยวหรือไม่นั้นต้องค้นให้เจอ ถ้าผู้ว่าไม่มีจะทำยังไงไม่ต้องถูกถึงยั่งยืน พัฒนายังไม่พัฒนาไม่ได้ตั้งต้นไม่ถูกเลย ยั่งยืนไม่ยั่งยืนไว้ทีหลัง ถ้าอบต. อบจ. ไม่รู้จะทำยังไงเดี๋ยวท่านกำนัน ท่านพูดได้เพราะถ้าการเริ่มต้น เริ่มมีความรู้แต่ถ้าข้างบนไม่รู้เรื่องทีนี่เริ่มพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ท่านระดับผู้บริหารหรือจังหวัดไม่รู้เรื่องก็ลำบากทำงานกันมาก ฝ่าฟันอะไรมามากมายจนกว่าจะสำเร็จ และการพัฒนาการท่องเที่ยวมันจะเริ่มต้นจากตรงไหน เมื่อก่อนเริ่มต้นจาก Supply เมืองไทยมีอะไรมีการพัฒนาขึ้นไปมีวัดมีวัง มีการพัฒนาขึ้นไป ตอนนี้หลังมันเปลี่ยนแนวคิดใหม่การพัฒนาสินค้าออกจาก Demand ของผู้บริโภคเหมือนกับสินค้าทั่วๆ ไป สินค้าอุปโภคหรือบริโภค เมื่อก่อนก็เถ้าแก่อยากผลิตอะไรก็ผลิตขึ้นมา เซลล์ก็วิ่งกันขายกันหน้าตั้งเลย ตอนหลังก็เปลี่ยนใหม่มาศึกษาผู้บริโภคว่าผู้บริโภคต้องการอะไรแล้วก็ผลิตขึ้นมา ตลาดต้องการอะไรก็ผลิตขึ้นมา ตอนนี้ยิ่งจำเพาะไปยังผู้บริโภคแต่ละคนต้องการอะไรแล้วก็ผลิตขึ้นมา จะผลิตขึ้นมาสนองให้ได้ มันถอยกลับไปอีกทิศทางมันเหวี่ยงกลับไปอีกทางหนึ่ง การพัฒนาการท่องเที่ยวนั้นเมื่อก่อนเราพัฒนาทาง Supply แต่ว่าตอนนี้เราพัฒนาขึ้นมาแล้วตอนนี้ถึงทางตันว่าไม่ได้ต้องหานักท่องเที่ยวต้องการอะไร แล้วค่อยพัฒนาขึ้นใหม่ การพัฒนาแหล่งการท่องเที่ยวก็เหมือนกัน ต้องไปดูว่านักท่องเที่ยว คือ ใครที่ว่ามาเที่ยวเนี่ยเที่ยวแบบไหน มีพฤติกรรมอย่างไร มันถอยกลับอีกทางหนึ่งมันเหวี่ยงกลับอีกทางหนึ่ง อย่างที่ว่าเราทำเศรษฐกิจแบบขายไม่ถูกต้อง ควรจะเป็นแบบเศรษฐกิจพอเพียงถึงจะถูกต้องอันนี้ก็แล้วแต่ยุคแต่ละสมัยก่อน ร.4 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เราก็ปลูกข้าวปลูกพืชกินกันแบบพอสมควรแต่พอถึง ร.4 มีสนธิสัญญาบาว์ริ่ง เศรษฐกิจเมืองไทยก็เริ่มเปลี่ยนเพราะมีการผลิตข้าวออกไปขายแทนที่เราจะทำหลายๆ อย่างก็มาทำอย่างเดียว ปลูกข้าวปลูกข้าวอย่างเดียวเพื่อจะส่งขาย นั้นประเทศก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ ร.5 – 8 จน ร.9 ก็มีปัญหา เพราะเราผลิตแล้วขายไม่เป็นมันก็จมดิ่งลงไปและก็ทำการตลาดไม่เป็นจนเดี๋ยวนี้ ทำเศรษฐกิจชุมชนไม่สำเร็จเพราะว่าการผลิตอย่างที่ อาจารย์เสรี พูด ผลิตแชมพูมาในหมู่บ้านคนในหมู่บ้านยังไม่ซื้อเลยไม่รู้จะขายใคร ชุมชนถือว่าต้องนำชุมชนเอง
ทำแล้วใช้ในชุมชนก่อนคุณกะจะทำขายนักท่องเที่ยวข้างนอก นักท่องเที่ยวข้างนอกเขามาดูแล้วไม่เอาหรอก อาจารย์บอกว่าใช้จนผมร่วงยังนี้สู้เขาไม่ได้หรอก คุณเอายาสระผมใบมะกรูด ดอกอัญชันไปสู้กับรีจอย์ สู้แพนทีน ได้ไหม สู้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่เราต้องเอาตลาดใหม่อีกตลาดหนึ่งมาใช้เรื่องธรรมชาติหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แล้วคนในหมู่บ้านก็นำมาใช้ก่อนและหมู่บ้านใกล้ๆ ก็ร่วมกันใช้แลกเปลี่ยนกันมันน่าจะไปรอด เดี๋ยวนี้ชุมชนไม่ได้อยู่ในชุมชนตัวคนเดียวคุณอ้างทีไรคุณก็ทำขายข้างนอกอยู่ดี มันก็เหมือนเดิมนั้นก็หน่วยงานของรัฐอย่าหวังพึ่งลำบาก เพราะว่าฝ่ายส่งเสริมการผลิตนั้นนะมันง่าย เอาเมล็ดพืชคุณไปหว่านปลูกพืชได้ ปลูกข้าวโพด ปลูกข้าวฟ่าง เอาปลา เอาลูกปลาไปขุดบ่อเลี้ยงปลานิลมันง่าย แต่พอได้ข้าวฟ่างมาแล้วไปใครขาย ตรงนี้มันยาก OTOP ให้คุณผลิตอะไรก็ได้จะเป็นเหล้าจะเป็นไวน์ให้คุณทำอะไรก็ทำไปเถอะเพราะมันง่ายแบบเดียวก็ได้แต่ทำออกมาแล้วไม่รู้จะขายใคร การท่องเที่ยวก็เหมือนกันคุณจะผลิตอะไรขึ้นมา อย่างหมู่บ้านโฮม สเตย์คุณจะทำยังไงก็ได้ไม่เกิน 2 เดือนนัก ทำได้หมู่บ้านอะไรก็ได้จัดหาเหอะพัฒนาปรับๆ เดี๋ยวก็ได้แต่จะทำแล้วขายให้ใครนักท่องเที่ยวอยู่ที่ไหน มันต้องจัดจากนักท่องเที่ยวก่อนที่เราไม่จัดเพราะเราไม่ชินงานทางการตลาด เราไม่มีความรู้ทางการตลาดก่อนเราทำเราต้องดูก่อนว่านักท่องเที่ยวอยู่ที่ไหน บางคนถามเราหมู่บ้านโผงผางมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะไหม แสดงว่าไม่เข้าใจว่าตลาดนี่อยู่ตรงไหน เราต้องเข้าใจตลาดก่อนแล้วค่อยทำสินค้าขึ้นมาสนองเค้า ไม่งั้นทำขึ้นมามันใช้เวลานานกว่าคนจะเข้าแล้วเงินเราไปจมอยู่ตรงนั้น แล้วเราจะพัฒนาอะไรในแหล่งท่องเที่ยว มันต้องพัฒนาตรงที่มีตลาดรองรับอยู่ก่อน งั้นการตลาดนั้นต้องเดินหน้าแต่ที่ผ่านมาการตลาดยังไม่เดินหน้า เราทำ Supply ก่อน Demand ตอนนี้เราพูดถึงเรามีน้ำตกให้พัฒนานั้น เรามีหมู่บ้านให้ทำโฮม สเตย์ โฮม สเตย์แถวหมู่บ้านเราที่ทำมันจะมีใครเข้ามาคนประเภทไหนนิสัยยังที่จะเข้ามามันต้องตีเป็นโจทย์ตรงนี้ให้แตกก่อนไม่ใช่อยากจะทำ งั้นเอาความสำเร็จในการหมู่บ้านโฮม สเตย์ไม่ยาก แป็ปเดียวก็สำเร็จ ศูนย์วิชาการเกษตรตั้งเยอะแยะ 50 กว่าแห่งทั่วประเทศพัฒนาแบบเดียวก็นำไปสู่ ECO Tourism แต่มันไม่มีนักท่องเที่ยวไปเลยเงินที่กู้ไปจบ มันต้องไล่พัฒนาที่ศูนย์โดยไล่ตัวลูกค้าแต่ละศูนย์ ค่อยๆ ขยับ งั้นการพัฒนาการท่องเที่ยวมันต้องเริ่มต้นจากจุดนี้จาก Demand ไปก่อน นี่แค่พัฒนาอย่างเดียวนะ พัฒนาแล้วจะให้ยั่งยืนหรือไม่เป็นอีกประเด็นหน้า อีกโจทย์ที่ต้องตามเข้ามาการพัฒนาการท่องเที่ยวมันเพื่ออะไรที่เจริญไม่ใช่บอกว่ารายได้มาจากเงินตรงต่างประเทศ อันนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง ไอ้ส่วนที่ได้หลายส่วนๆ จากความที่เข้าใจอันดีกันระหว่างชุมชน อันนั้นมันได้รายได้อยู่แล้วแต่ความเข้าใจร่วมกันในหมู่ชุมชนเข้าใจวิถีชีวิตก็ได้อีกส่วนหนึ่ง แล้วการท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมันไม่จำเป็น การท่องเที่ยวเป็นทั้งหมดของชุมชนก็ได้ ชาวชุมชนเล่นกันทางท่องเที่ยวอย่างเดียวยังไงได้ อยู่ที่ว่าคุณทำเป็นหรือเปล่า หมู่บ้านทำหมู่บ้านเล่นการท่องเที่ยวอย่างเดียวยังได้ แล้วบางประเทศเล่นการท่องเที่ยวอย่างเดียวเลย แต่ว่ามันค่อนข้างเสี่ยงเพราะการท่องเที่ยวมันอ่อนตัวง่ายมันไหวตัวง่าย มีปัญหาอะไร ปุบปับการท่องเที่ยวมันลอยเลย ถอยปั๊บ ไอ้เราพึ่งนักท่องเที่ยวมันก็จบแต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ งั้นเราต้องแตกตลาดเป็นหลายๆ ส่วน ตลาดนี้ถอยตลาดนั้นก็มา ตลาดนั้นถอยตลาดนั้นก็มาแทน เหมือนโรคซาร์ที่เข้ามาเมื่อต้นปีก่อน นักท่องเที่ยวยุโรปหายไปเลยเราได้นักท่องเที่ยวเอเชียใกล้ๆ บ้านนี้เข้ามาเที่ยว ซึ่งเราก็ต้องมีนักท่องเที่ยวมาทดแทนเราต้องรู้เนื้อหาของสินค้า


อะไรเป็นใครแล้วลูกค้าเป็นใครมีความเสี่ยงแค่ไหนต้องมีการบริหารความเสี่ยงด้วย คือ พวกนั้นมันทำอยู่ตลอดแต่ว่าฝรั่งมันเก่ง มันตั้งเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระบบ เป็นอะไรเป็นการบริหารความเสี่ยวที่จริงมันต้องทำอยู่แล้ว การศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคต้องศึกษาอยู่แล้วแต่ว่ามันไม่เป็นระบบ ฝรั่งเค้าฉลาดทำให้เป็นระบบขึ้น แล้วก็เช็คระบบ เรามีระบบเราไม่เดินตามระบบแล้วจะปลอดภัยการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวก็เหมือนกัน เรามองว่าความยั่งยืนจะทำอะไรบ้าง ถ้าเราตั้งหลักนั้นเราจะถอยลงได้ว่าจะทำกระบวนการใดบ้าง การให้ความรู้ประเภทแรกที่ต้องมีอยู่และก็ผู้ที่มีความรับผิดชอบในการดูแล ในการกำกับและยังฝ่ายรัฐต้องเข้ามามองดูเอาจริงเอาจังที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ใช่ว่าทุกคนจะพัฒนาและจิตสำนึกในการดูแลทั้งหมด มิฉะนั้นคงไม่เกิดน้ำเน่าในพัทยาหรอก ำนึกในการดูแลทั้งหมด เพราะงั้นเพราะโรงแรมบางแหล่งก็ไม่สนใจทำ ทิ้งน้ำเสียโดยไม่บำบัดก่อนเพราะถ้าเกิดน้ำเสียรัฐบาลต้องทุ่มเป็น 1000 ล้านบาท เพื่อไปแก้ปัญหาทางน้ำเสีย ในกระบวนการก็เหมือนกับโรงงานอุตสาหกรรม ฝ่ายอุตสาหกรรมต้องเข้มงวดในการตรวจโรงงานไม่ให้ปล่อยน้ำเสียเหมือนกัน ฝ่ายควบคุมก็ดูแลการพัฒนาท่องเที่ยวต้องไม่ก่อให้เกิดของเสีย พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและมีส้วมอยู่ริมคลอง คนไปเที่ยวแล้วก็ถ่ายลงไปในคลองสาธารณะมันเป็นไปได้อย่างไร เพราะงั้นต้องทำให้ได้อยู่แล้ว ถ้าหน่วยงานเจ้าของไม่มีจิตสำนึกถ้าหน่วยงานที่คุณรัฐที่คุณต้องเข้าใจไปดูแลต้องเข้มงวด ต้องทำให้ได้การบังคับกับใช้กฎหมายต้องเป็นไปได้ ทุกภาคทุกส่วนต้องเข้ามาช่วยกัน


ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ อบต. : การปนเปื้อนทางวัฒนธรรมกับจิตสำนึกของชุมชน

โดย

กำนันธวัช บุญพัด สมาชิกสภาจังหวัดสมุทรสงคราม และผู้ประกอบการเครือข่ายโฮม สเตย์ตำบลปลายโพงพาง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม


กำนันธวัช (ตามหาหิ่งห้อย) ทำการท่องเที่ยวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เปิดหมู่บ้านท่องเที่ยวตั้งแต่ วันที่ 30 ธันวาคม 2542 มีแรงบันดาลใจที่เปิดหมู่บ้านการท่องเที่ยวที่แรก เราอยากทำการท่องเที่ยวมานานแล้ว เห็นนักท่องเที่ยวมามาก เห็นฝรั่งเมืองนอกรวมกับคนไทยไปเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวก แต่ก็ผ่านไปผ่านมา ผ่านสมุทรสงคราม ถนนพังไปเยอะไม่ได้เงินกับเขาเลย หมู่บ้านเราจะทำยังไงก็อยากจะมีการพัฒนาในการท่องเที่ยวเกิดขึ้น ประมาณปี 2538-39 ท่านพนักงานจังหวัดที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็เข้ามาทำเรื่องการพัฒนาชุมชนและแนะนำให้รู้จักทำโฮม สเตย์จนกระทั่งเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐบาลบอกว่าอยากให้ชาวบ้านหรือจังหวัดส่งเสริมการท่องเที่ยวตามหมู่บ้านต่างๆ ในเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ประเพณี ต่างอยากจะให้ทำเลยปรึกษาท่านผู้ว่าราชการจังหวัดว่าทำอะไรที่ปลายโพงพางจะทำอย่างไรดี เลยมีความคิดที่จะทำโฮม สเตย์ผสมผสานการท่องเที่ยว ผสมผสานกับวิถีชีวิตของพี่น้องของประชาชนชาวสมุทรสงคราม โดยเริ่มต้นที่ทุนทางสังคม คือ ผู้คน สัตว์ ธรรมชาติ แม่น้ำลำคลอง วิถีชีวิต บ้านเรือน ที่อยู่จัดการไว้ 10 หลังก็เคยคิดว่าจะหาตลาดการท่องเที่ยวที่ไหนในลักษณะแบบโฮม สเตย์ และเที่ยวแบบในวิถีชีวิต เลยตั้งโปรแกรมการท่องเที่ยว 12 ตำบล ทั้งหมดที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยวแบบทุนทางสังคม พื้นที่ก็มี 12 ตำบล แล้วหาจุดเด่นในการท่องเที่ยวของแต่ละตำบล หลังในวันที่ 16 กันยายน 2542 ทำพิธีเปิดป้ายหมู่บ้าน เชิงอนุรักษ์เป็นบ้านทรงไทย ปลายโพงพาง โดยการอนุรักษ์บ้านทรงไทยให้อยู่คู่กับประเทศไทยสืบต่อไป แล้วก็ทำตารางท่องเที่ยวและทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่ร่วมโครงการโฮม สเตย์ ถึงเวลาเริ่มทำโครงการ กำหนดประชาชนว่าบางเวลามีนักท่องเที่ยวมากที่บ้านจะเอาเท่าไหร่ เรื่องค่าใช้จ่ายต่อคน ค่าความสะดวกต่างๆ เท่าไหร่ ก็ตกลงราคา 700 บาท จะเป็นการบริหารนักท่องเที่ยวจะต้องมีความจริงใจและมีผู้นำที่จริงใจ การท่องเที่ยวที่ปลายโพงพางที่ไม่ใช่การท่องเที่ยวหารายได้หลัก คือ การท่องเที่ยวรายได้เสริมมากกว่าที่สมุทรสงครามมี 14 แหล่ง โดยมีสื่อมาช่วยทำการโปรโมต ททท. ก็ช่วยโปรโมตโดยใช้ทุนตัวเองที่มีอยู่ ฉะนั้น การทำอะไรก็แล้วแต่ไม่ได้เกี่ยวเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวจะเป็นอย่างเดียวขอให้เราจริงใจจริงจังดูไปเรื่องของของประสบการณ์ของสังคมที่เรามีอยู่แต่ไปหวังพึ่งคนอื่นให้มาพัก
ช่วงซักถาม และ แสดงความคิดเห็น


คำถาม
1. เรียนถามท่านกำนันธวัช เกี่ยวกับโฮมสเตย์บ้านโพงพางว่าจะมีมาตรฐานอย่างไรบ้างในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน


กำนันธวัช บุญพัด
ที่แรกก็ที่เราทำการบรรยายประชาคม เราต้องตั้งคำถามว่าผู้ที่จะมาซื้อในเรื่องของที่เราขายในเรื่องลักษณะของท่องเที่ยวเราจะขายแล้วเราก็มีสินค้าคุณภาพของเรายังไง เราคิดอันดับแรกเลยว่า 1. การต้อนรับของเราต้องพร้อม ต้องดี กินต้องดี นักท่องเที่ยวกินดีไหม ต้องดี ที่นอนดี ไอ้คำว่าดีในลักษณะโฮม สเตย์ดียังไง เราต้องแยกประเภท โรงแรมดียังไง รีสอร์ทดียังไง เที่ยวต้องดี ฉะนั้น 3-4 อย่างนี้ 1. ต้อนรับดี กินดี เที่ยวดี กินดี แค่นี้คิดว่าน่าจะพอในเรื่องของความมาตรฐานในเรื่องของการท่องเที่ยว ฉะนั้นการตอนรับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คนที่ไปปลายโผงผางเนี่ยถ้าผมอยู่ส่วนใหญ่อยู่ตลอด เช้าๆ นี้ต้องรับไปจ่ายตลาดตั้งแต่ตี 5 แล้ว จ่ายกับข้าวเองด้วยนะกลับมาก็คอยต้อนรับ ตอนนี้มีลูกชายมาช่วยเมื่อก่อนคนเดียว ต้อนรับแขกเสร็จต้องรีบวิ่งไปทำกับข้าวแล้วบางทีทำกับข้าวเสร็จก็ต้องออกมาข้างนอก ทำคนเดียวหมดเมื่อก่อนเดี๋ยวนี้ก็มีคนมาช่วย พี่ๆ น้องๆ มาช่วยในบ้าน เรื่องที่หลับที่นอนก็อยู่รวมกับเจ้าบ้าน ที่จริงเมื่อก่อนมุ้งหมอนที่นอนเสื่อเข้าบ้านจะมีอยู่พร้อมแล้ว ต้อนรับแขกอยู่ที่บ้านรับญาติใครมานัดสามารถปูที่หลับที่นอนแล้วก็กางมุ้งให้นอนได้สบาย บอกคุณว่าไม่ต้องลงทุนนี้มีของอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้มีการพัฒนาบอกคนมีเตียงชาวต่างชาติเค้าชอบเตียง คนเฒ่าคนแก่นอนข้างล่างไม่ได้ก็ต้องมีฟูกอย่างดี ปูที่หลับที่นอน มุ้งหมอนที่นอนเสื่อต้องสะอาดเรียบร้อย ห้องน้ำเมื่อก่อนที่ชาวสวนใช้ธรรมดา เดี๋ยวนี้เค้ามีการพัฒนาอาจจะมีชักโครกบ้างเป็นบางบ้านทำห้องน้ำเพิ่ม เพราะว่ามีรายได้เดือนละหลายพันบาท เป็นหมื่นๆ บาง บางบ้านก็มีการพัฒนาเกิดขึ้น ฉะนั้นกระบวนการการเรียนรู้ในการพัฒนาเนี่ยมันจะค่อยสอนเรื่อยไป ความยั่งยืนของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นความมาตรฐาน ต้อนรับดี กินดี เที่ยวดี นอนดี ซึ่งจะให้ไว้เท่านั้น


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
ที่นักศึกษาถามว่ามีมาตรฐานอะไรให้การท่องเที่ยวยั่งยืน คำถามชัดเจนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนไม่ได้หมายถึงยังงั้น การท่องเที่ยวยั่งยืนหมายความว่า การท่องเที่ยวต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ต้องเน้นตรงนี้มากๆ แล้วการท่องเที่ยว จะเจริญต่อไปหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ นี่อยากสนับสนุนความหมายของมัน เราเน้นเรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มันหมายความว่าจะต้องมีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไปแล้วจะทำให้การท่องเที่ยวยั่งยืน ไม่ใช่มุ่งให้การท่องเที่ยวเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ เพราะการท่องเที่ยวเจริญไปข้างหน้ารุดหน้าเรื่อยๆ ไปได้ โดยสิ่งแวดล้อมก็ตามหลังไปงั้นประเด็นไม่ได้ต้องการให้การท่องเที่ยวยั่งยืนแบบนั้น ในการท่องเที่ยวเราต้องการยั่งยืนโดยที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้อยู่ได้งั้นประเด็นต้องอยู่ที่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นตัวหลัก


คำถาม ถ้าในเมื่อเราจะทำการ ท่องเที่ยว ให้ยั่งยืนแล้วสถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งท่องเที่ยวนั้น ก็ต้องขายได้ด้วยเช่นกัน อาจารย์มีแนวทางใหม่เราจะสามารถไปได้ทั้งทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อมด้วย


เป็นคำถามที่ดี มันจะไปด้วยกันได้ไหมในเรื่องของการอนุรักษ์ด้วยและก็เจริญไปด้วยเนี่ย มันก็ต้องตอบว่าไปด้วยกันได้ จะตอบยังอื่นไม่ได้ มันต้องไปด้วยกันได้ต้องทำให้ไปด้วยกันได้ เพราะไม่งั้นมันก็ขายได้วันเดีวแล้วก็จบเลย มันวันเดียวงบไม่ได้ อย่างน้อยโผงผางวันเดียวงบไม่ได้ อย่างที่โผงผางเนี่ยจะถามว่ามาตรฐานยังไงทำให้มันไม่ใช่มาตรฐานการบริการต้องเป็นมาตรฐานการจัดการอย่างที่ไม่ให้มันเสื่อมเสียมาตรฐานการบริการอีกเรื่องหนึ่ง นักท่องเที่ยวพอใจไม่พอใจอีกเรื่องหนึ่งแต่ทำยังไงไม่ให้เสื่อมเสีย เช่น เรือที่พานักท่องเที่ยวไปเที่ยวต้องไม่ทิ้งน้ำมันลงในแม่น้ำไม่ถ่ายน้ำมันเสียลงในแม่น้ำ ให้เกิดมลพิษทางน้ำ ยังงี้ถึงทำให้มลพิษ ซึ่งจะกันยังไงหรือว่าคนเปลี่ยนวิถีชีวิตไป คนทำลอกดักกุ้งได้เงินไม่กี่ตังค์ เดี๋ยวนี้เอาละรับจ้างแบกรอกเดินผ่านหน้าบ้านนักท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวเห็นวิถีชีวิตแบบรอก ได้ค่าจ้างเที่ยวละ 20 บาท วันละ 5 เที่ยว 100 บาท กำไรกว่า เนี่ยวิถีชีวิตเปลี่ยนไปคนที่เคยตกกุ้งเดี๋ยวนี้ไม่ตกแล้วไปนั่งตกเพียงเพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นว่ามีคนตกกุ้ง แล้วได้ค่าจ้างจากกำนันธวัช วันละ 50 บาทสมมตินะอย่างนี้วิถีชีวิตมันเปลี่ยน ซึ่งอย่างนี้เราต้องดูว่าทำแล้วชีวิตมันเปลี่ยนมันจะต้องไม่เปลี่ยน อย่างฟาร์มโชคชัยเนี่ย เค้าเคยทำฟาร์มโคนม เดี๋ยวนี้ไปดูปรากฏว่ามีรถนักท่องเที่ยวไปจอดวันหนึ่งเต็มไปหมด ทุกวันด้วย ไม่ใช่เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาก็เต็มด้วย งั้นการทำฟาร์มของเค้ามันกลายทำเพื่อโชว์ให้นักท่องเที่ยวมาดู ไอ้การขายนมจริงๆ เป็นเรื่องรองเท่านั้น รายได้หลักอยู่ที่การท่องเที่ยวงั้นของกำนันธวัชก็เหมือนกันบางทีทำไปๆ รายได้หลักมาจากนักท่องเที่ยว สวนมะพร้าวเนี่ยขายไม่ค่อยได้แต่เราไว้ปีนขึ้นปีนลงให้นักท่องเที่ยวดูไง มันก็ทำได้แต่ว่าวิถีชีวิตการขายมะพร้าวก็เป็นซบ มันก็ซบไปแต่ก็ต้องทำอยู่ อย่างฟาร์มโชคชัยก็เหมือนกัน ก็ยังทำวัว เนื้อวัว สเต็ค ทำนมอยู่ แต่รายได้หลักมันมาจากนักท่องเที่ยว งั้นการรีดนมวัวก็รีดให้นักท่องเที่ยวดู แล้วเค้าก็รีดไปใช้ด้วย แต่ก็มีส่วนรีดให้นักท่องเที่ยวดูอะไรอย่างนี้เป็นต้น มันไปด้วยกันได้ แล้วมันต้องรักษาไว้ด้วย เพราะงั้นนักท่องเที่ยวมาแล้วฟาร์มยังหากินไม่ได้ก็ต้องอนุรักษ์ไว้ให้อยู่ ให้มันยั่งยืนไว้ทั้งคู่ แต่มันเน้นที่ความยั่งยืนของตัวทรัพยากรเป็นหลักก่อน เพราะเมื่อก่อนเวลามุ่งการท่องเที่ยวมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพยากร มันมุ่งไปข้างหน้าเลยแล้วทรัพยากรมันก็เริ่มเสื่อมที่หลังๆ ไม่มีใครดู อย่างเกาะเสม็ดเนี่ย เราดูแล้วเกาะเล็กๆ เท่านั้นนะ ถ้านักท่องเที่ยวเข้าไปมากจนเกินไป ขยะก็กำจัดไม่ได้ งั้นต้องกำจัดนักท่องเที่ยวลงไม่มีใครดูจนต้องเกิดปัญหาขยะล้นเกาะเสม็ด แล้วเราก็ไปทำอะไรไม่ได้ การท่องเที่ยวใครๆ ก็บอกว่ามีปัญหานะ ทางสุขาภิบาลเกาเสม็ดก็ไม่ได้ตื่นตูม จนเกิดปัญหาขยะล้น แล้วจะแก้ยังไง ถือว่าสิ่งแวดล้อมเสียหาย แหล่งท่องเที่ยวสวยๆ ก็เริ่มเหมือนไปด้วยขยะ มันก็ขายไม่ได้ มันก็ต้องมาแก้ไข ถังขยะเนี่ยมันต้องทำตั้งแต่ต้น นักท่องเที่ยวไปเยอะสิ่งปฏิกูลก็ต้องเยอะ เศษขยะก็ต้องเยอะงั้นการจัดการก็ต้องทำไปด้วย เดี๋ยวนี้เค้าไม่ทำก็ต้องมีหน่วยงานเข้าไปทำ สมุยก็กำลังมีปัญหาอยู่ ขยะมีปริมาณเยอะ เชียงใหม่ก็เหมือนกัน ขยะนักท่องเที่ยวด้วย ชาวบ้านด้วย ประชาชนนอกพื้นที่ด้วย ถ้าแก้ปัญหาตรงนี้ได้ นักท่องเที่ยวมาแล้วก็ผสมไปด้วยก็จบ หมายความว่าขยะในพื้นที่แก้ได้ ในของที่ชาวบ้านกินใช้อยู่ในชีวิตประจำวันที่เชียงใหม่ ไปกลบที่ไหน ฝังที่ไหน นักท่องเที่ยวมาก็ไปกลบที่นั่น ฝังที่นั่น มันก็จบ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นักท่องเที่ยว ทำให้ขยะล้นเมือง ปัญหาอยู่ที่ขยะในชีวิตประจำวัน เทศบาลก็แก้ไม่ตก นึกออกไหม พอนักท่องเที่ยวมาก็กลายเป็นว่านักท่องเที่ยวทำขยะล้น นักท่องเที่ยวก็แค่กลั้วผสมไปเท่านั้นเอง ถ้าหากแก้ปัญหาได้ตก นักท่องเที่ยวเข้ามาเสริมก็กลบเข้าไปก็จบ ปัญหาก็คือปัญหาพื้นฐานของสังคมในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เราต้องเป็นไปได้ด้วยดีก่อน งั้นการท่องเที่ยว มาก็ดูดซับตัวนั้นได้ด้วยไม่งั้นถ้าหากว่าการพัฒนาพื้นฐานยังไม่ได้เนี่ย มันก็ต้องเอาการท่องเที่ยวมา แล้วก็กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตรงนั้น เช่น ถนนทางไปน้ำตกอย่างนี้ รัฐบาลไม่ยอมสร้าง จังหวัดไม่ยอมสร้างเสียที ยังไงก็ของบไม่ได้บอกว่าหมู่บ้านน้อย เราก็เอาการท่องเที่ยวเข้าไปบอกว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยอะๆ ขึ้น เค้าถึงหางบมาสร้างถนน ชาวบ้านก็ได้ประโยชน์ตรงนั้นด้วย เป็นผลพลอยได้ในการท่องเที่ยวอย่างนี้เป็นต้น นี่คือเอาการท่องเที่ยวมานำในการพัฒนา แต่โดยหลักจริงๆ แล้วประเทศที่พัฒนาแล้วเนี่ยเค้าพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวพัฒนาเมืองจนดีแล้วนักท่องเที่ยว ก็ไปเสวยผล อย่างใกล้ๆ นิวซีแลนด์ ออสเตรีย ไปดูได้ เค้าสมบูรณ์อยู่แล้ว ถนนหนทางสมบูรณ์อยู่แล้ว เราแค่เอานักท่องเที่ยวไปเสวย สิ่งที่คนพื้นเมืองเค้าเสพกันอยู่ บริโภคกันอยู่ เราเป็นส่วนเสริมเข้าไป แต่ว่าของเราต้องเอาการท่องเที่ยวนำไง เพราะว่าพื้นที่ไม่พัฒนา แต่นักท่องเที่ยวไปแล้ว ถ้างั้นก็ต้องกระตุ้นให้พื้นที่พัฒนาเรื่องรับนักท่องเที่ยวก่อน งั้นชาวบ้านก็ได้อานิสงค์ ถ้ามีนักท่องเที่ยวไปก็เลยมีอานิสงค์ มีไฟฟ้าใช้ มีถนนสำหรับคนเดินทางด้วย มันก็ไปด้วยกัน 2 ทาง แต่เหนือสิ่งใดในการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ต้องเน้นเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรให้ได้ก่อน ไม่งั้นระยะยาวไปไม่รอดถ้าเราหันมาเน้นตรงนี้มาก เพราะว่ามันโปรโมชั่นเกิดขึ้นเยอะ บางอย่างโปรโมชั่นที่เกิดจากชาวบ้าน งั้นแม่น้ำเจ้าพระยาเลยไม่ใช่เกิดจากนักท่องเที่ยว แม่น้ำเจ้าพระยาเสียเพราะบ้านเรือนคนริมแม่น้ำนั่นแหละที่ทำให้เรือไม่ก็สารเคมีในไร่นาที่ทำให้เสีย อย่าไปบอกว่านักท่องเที่ยวมาเยอะน้ำเจ้าพระยามันคนละเรื่อง งั้นแต่ละวันเราต้องชัดว่าเรามองประเด็นปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วหาให้เจอว่าตัวการอยู่ตรงไหน จะได้ชัดเจนขึ้น แล้วประสบการณ์ของท่านกำนันจะมีประโยชน์ เราต้องสรุปให้ได้ตรงไหนเป็นเรื่องการตลาด อย่างเรื่องการตั้งราคา อย่างเรื่องตลาดเราเรียนมาอย่าง 4 p มันเป็นทฤษฎี แต่นี่กำนันธวัชไม่ได้เป็นทฤษฎี แต่มานั่งคิดเลยว่าจะคิดค่าเช่าเรือเท่าไหร่ นี่เป็นเรื่องการตั้งราคา นี่คือองค์ประกอบการตลาด ทั้งหมดนั้นที่ท่านเล่ามาเป็นประสบการณ์แล้วค่อยสรุปเป็นหลักออกมาว่าหลักของมันอยู่ตรงไหน ทฤษฎีอยู่ตรงไหน เราเอามาใช้เทียบที่ท่านเล่าให้ฟังเพื่อจะประโยชน์แล้วก็เอามาใช้เพื่อพัฒนาต่อไปว่าจะทำยังไง งั้นความรู้อย่างเราไปหาประสบการณ์อย่างท่านมากะได้เสริมต่อได้ ขนาดท่านไม่มีความรู้พวกนี้ท่านยังตั้งหลักขึ้นมาได้ แล้วเรามีความรู้พื้นฐานอยู่แล้วเนี่ยไปหาประสบการณ์จากท่าน เราน่าจะคิดอะไรได้กว้างกว่านั้น ลึกได้มากกว่านั้นขอฝากไว้เท่านี้


กำนันธวัช บุญพัด
การพัฒนาการท่องเที่ยว ที่พูดถึงสิ่งแวดล้อมและก็เรื่องการกำหนดมาตรฐานของการท่องเที่ยวที่จริงการท่องเที่ยวกับสิ่งแวดล้อม ไปด้วยกันได้ การสร้างจิตสำนึกเนี่ยเป็นเรื่องที่สำคัญ นักท่องเที่ยวไปเที่ยวบอกว่าลอยเรือชมหิ่งห้อยมันมีขยะ ลอยไปติดชาวดักกุ้งที่โผงผางเรามาก แต่ท่านกำนันมีมาตรการจะทำอย่างไร ผมก็บอกว่าจริงๆ ก่อนที่จะทำการท่องเที่ยวเนี่ยเคยนึกอยู่แล้วว่าไอ้ขยะที่โดยส่วนใหญ่เป็นขยะโดยธรรมชาติเนี่ย ที่มันเกิดจากมีใบกล้วยบ้าง กล้วย อ้อย ใยมะม่วง ใบไม้ต่างๆ เค้าเรียกหัวตาโหนก คือ ทางมะพร้าว ลูกมะพร้าวที่ลอยไฟลำคลองเนี่ย ส่วนใหญ่แล้วถ้าไปจุดที่หิ่งห้อยเนี่ย ขยะจะไปตรงช่วงนั้นเพราะว่าเราเป็นปลายตำบลที่จะออกทะเล เพราะว่าติดพระราม 2 เราก็มีประตูกั้นน้ำด้วย ขยะก็จะลอยไปลอยกลับ ถ้าลอยไปเรื่อย ถ้าลอยออกไปทะเล บางทีไปติดซาง พอติดซางน้ำขึ้นก็ลอยกลับ ก็ลอยไปลอยมาจนจมไปด้วยกัน เราก็มีมาตราที่คิดว่าถ้าเราทำการท่องเที่ยว เนี่ยวางแผนส่งตำบล ส่งอำเภอ ส่งจังหวัดเนี่ยโดยที่เราของบประมาณไปสร้างโผงผางดังขยะ เอ๊ะโผงผางดักขยะเป็นยังไง โผงผางดักกุ้งเป็นสวิงตาเล็กๆ เอากว้างประมาณ 10 เมตร หรือ 8 เมตร ความยาวก็ประมาณ 12 เมตร เพราะดักกุ้งกัน พอดักชม. 2 ชม. ก็ติดบ้างที่ 5 โล แล้วแต่โอกาส นี่คือภูมิปัญญาชาวบ้านซางที่เค้าดักกุ้งอยู่ที่เป็นรูปซางไม้ไผ่ที่เหลาเป็นร้อยๆ อัน แล้วก็เอามาสานเป็นซาง คล้ายๆ ไทรี ก็มีเปลือกไม่ไผ่ที่ค้างอยู่ เรามีทางจะเก็บขยะยังไงก็เลยบอกว่าซางของโผงผางมันไม่ค่อยมีแล้ว เราสร้างโผงผางขึ้นมาเราทำแบบตรงโผงผางแบบสวิงนะ ใช้แบบอวนแล้วไนลอนเย็บเข้าตาห่างซะ 3-4 ซม. ขยะที่มันเข้าไปก็เอาเรือไปเก็บ เก็บมาแล้วเอามาใส่เครื่องที่เค้าตีขยะอย่างบางแสนเค้าก็ทำ ปั่นแล้วก็มาทำปุ๋ย ขายปุ๋ยได้ ฉะนั้นการพัฒนาในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ตามบ้านก็เหมือนกัน ชาวสวนก็เหมือนกันไม่มีเวลามาที่จะมาเก็บกวาดรอบๆ บ้าน เค้าต้องขึ้นตาล เคี่ยวตาล ไม่มีเวลาพักผ่อน ก็รกรุงรังแม้แต่เสื้อผ้านุ่งห่มแขวนในบ้านเยอะแยะไปหมด เดี๋ยวมีการพัฒนาเก็บเรียบ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ฉะนั้นการพัฒนาในเรื่องของสิ่งแวดล้อม แล้วก็วัฒนธรรม คุณธรรม ความเอื้ออาทรต่อกัน ความรัก ความสามัคคี ความคิดที่มันจะเกิดจากการท่องเที่ยวมีผลมากมายมหาศาลนะครับ

2. เรียนถามท่านกำนันธวัชว่ารีสอร์ทที่เปิดให้นักท่องเที่ยว เข้าไปพักที่บอกว่าเป็นโฮม สเตย์ ถือว่าเป็นโฮม สเตย์ได้ไหมครับ และถ้าเป็นไปได้จะต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง


กำนัน ธวัช บุญพัด
ที่จริงคิดว่าจัดเป็นโฮม สเตย์ได้เลย เพราะว่าเราไม่ได้ทำรีสอร์ท ไม่ได้ปลูกแบบรีสอร์ท เป็นบ้านเก่านะครับ บ้านเรือนไทย ทรงไทย ไม้สักทอง 3-4 หลังเป็นหลังนะ เป็นบ้านที่ปลูกติดกัน บ้านหลังเดียวแต่มัน10 หลัง มีหอกลาง หอขวาง มีระเบียง อะไรต่างๆ แล้วก็มีศาลาทรงไทยริมน้ำ นี่เป็นบ้านทรงไทยเก่า 100 กว่าปี 200 กว่าปี อย่างต่ำสุด 80-90 ปี 10 หลังที่ว่านั้น คือโฮม สเตย์จริงๆ แต่โฮม สเตย์จริงๆ เค้าต้องไปทานข้าว ทำกิจกรรมในบ้าน แต่ว่าในเรื่องการท่องเที่ยว ที่จะมีการพัฒนาเกิดขึ้น สมมติว่าเมื่อก่อนเนี่ย เดี๋ยวนี้จะเล่าให้ฟังอีกนิด นักท่องเที่ยวมาเนี่ย เจ้าของบ้านจะต้องพายเรือมารับเข้าบ้าน นี่ตกลงว่าจะทานอาหารต้องมาทานบ้านกำนัน เดี๋ยวต้องออกมาส่งอีก แล้วคนแก่ทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็รับไปบ้านเค้าอีกแล้ว เดี๋ยวเรือไปรับชมหิ่งห้อย เวลามันไม่พอดีกัน ฉะนั้นจากบ้านให้กำนันธวัชทำอาหารก็ดี พอทานอาหารเสร็จแล้วเรือจัดไปพร้อมกัน ค่อยๆ ทยายออกไปพร้อมกันหมด มันเป็นการบริหารจัดการที่ลงตัวพอดีแล้วก็ส่งเข้าบ้านเลย ตื่นเช้ามาทำอาหารใส่บาตร พระบิณฑบาตทางน้ำ ท่าน้ำหน้าบ้าน เสร็จก็เก็บเสื้อผ้าสัมภาระลงเรือมา แล้วก็มาทานข้าวเตรียมล่องเรืออีก ไปพิพิธภัณฑ์ บ้านดนตรี โบสถ์ผนังไม้สัก ฯลฯ เวลามันจะพอดีกัน ด้วยการบริหารจัดการ อันนี้คนคิดในใจว่าคือโฮม สเตย์ แต่ที่เค้าทำใหม่ๆ ทำเป็นรีสอร์ทจริงๆ เลย ไม่ได้ปลูกบ้านทรงไทยแล้ว นี่บ้านของเค้าเองก็ถือว่าเป็นรายได้เสริม ไม่ได้คิดถึงการท่องเที่ยวว่าจะต้องเป็นรายได้ที่แน่นอน รายได้หลักจากการท่องเที่ยวที่นี่เป็นรายได้เสริม


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
คำถามเนี่ยมันไม่ยากไปค้นดูคำจำกัดความของโฮมสเตย์เอา โฮมสเตย์คืออะไร รีสอร์ทคืออะไร ฯลฯ ไปค้นดูได้มันไม่ยาก แล้วเราก็ดูเองว่ามันใช่หรือไม่ใช่ จะได้คำชัดเจนแล้วก็อ้างอิงได้


ดร.สุวันชัย หวนนากลาง
ขออนุญาตเสริมสั้นๆ นิดนึง สาระของโฮม สเตย์ คือ นักท่องเที่ยวมีจุดประสงค์ไปศึกษาวัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่ โดยพักอยู่กับเจ้าของบ้าน ซึ่งอาจจะมีห้องแบ่งให้เช่า แล้วก็มีกิจกรรมต่างๆ ส่วนรีสอร์ทนั้นวัตถุประสงค์ คือส่วนมากไปพักผ่อน หย่อนใจ เป็นการทำในเชิงธุรกิจเต็มตัว แต่ว่าถ้าชาวบ้านทำอย่างที่ปลายโผงผาง หรือที่อันจะเน้นในเรื่องเป็นรายได้เสริม เพราะฉะนั้นการมีโฮม สเตย์ก็จะช่วยให้ชาวบ้านต่างชาติรู้ว่าวิถีชีวิตของเราเป็นอย่างไร และเค้าก็เกิดความประทับใจ

3. เรียนถามท่าน ดร.ละเอียด ว่าประเทศไทยของเราเนี่ยจะมีศักยภาพพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนได้หรือไม่ค่ะ อย่างไร
ต้องถามว่าพวกเราคิดยังไง ต้องตอบให้ผมทราบก่อน มาถามผมก็ตอบว่าได้อยู่แล้ว ผมอยู่ส่วนราชการ ทำงานอย่างนี้ไปให้ผมตอบไม่ได้ได้ไง แล้วพวกคุณคิดว่าหรือเปล่า คิดว่าได้ไหมตัวคุณคิดว่าได้ไหม
นักศึกษา ตัวดิฉันคิดว่าเป็นการยาก เพราะว่าเราจะเปลี่ยนความคิดของคนทั้งประเทศมันยากมาก แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ซึ่งมันเป็นการยาก


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
ถ้าคุณว่าไม่ได้ก็จบ ก็แค่นั้นเอง มาถามผมก็ต้องตอบว่าได้ เพราะในส่วนของผมๆ ต้องทำให้ได้บอกไม่ได้ผมก็เจ๊งนะซิ งั้น ททท. ทำไม่ได้ก็เจ๊งซิ คำถามนี้ไม่น่าถาม ถามผมๆ ก็ต้องตอบว่าได้อย่างเดียวแต่ถ้าถามว่ามันยากง่ายเนี่ยบอกได้ อย่างที่คุณว่ามันยาก เพราะคนทุกคนมีความตระหนัก อย่างน้อยที่สุดธุรกิจที่ประกอบการแล้วมีผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยวต่อทรัพยากร ตรงนี้ต้องให้เค้าเข้าใจให้ได้ก่อน ซึ่งยังยากเลย งั้นที่บอกยาก ผมเห็นด้วย แต่ถามว่าได้ไม่ได้ ไม่ต้องถามอยู่แล้ว มันต้องตอบว่าได้ ทุกคนมีความคิดอิสระ คิดยังไงก็ได้ เหตุผลให้เข้ากระบวนการ งั้นก็มีความยากจริงๆ เหมือนกัน เพราะคนไม่เข้าใจ ผมบอกแต่แรกแล้วว่าคนไม่เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยว ฟังเป็นเรื่องง่าย การท่องเที่ยวจะเจริญเติบโตไปอีกกี่ 10 ล้าน ตอนนี้ 10 กว่าล้าน ดูสถานการณ์ตอนนี้ยังไง ถ้าสนามบินสุวรรณภูมิไม่เปิดอีก ปีหน้า นักท่องเที่ยวมีปัญหาแน่นอน เพราะตอนนี้มันแน่นอยู่แล้ว เครื่องยังลงไม่ได้ เครื่องบินต้องลงกันแบบชนกันตูดต่อตูดลงมากันแต่ละลำอย่างนี้เป็นไปได้ยังไง ถ้าคมนาคมไม่แก้ปัญหาก็จบ เพราะว่าถ้าพูดเรื่องการท่องเที่ยวพูดไปเถอะ ถ้าตัวนี้ไม่แก้ก็จบอีก งั้นการท่องเที่ยวไม่มีตัวสำคัญๆ อยู่ไม่กี่ตัวหรอก ถ้าตัวนี้ไม่สำเร็จอีกตัวก็จบงั้นการอนุรักษ์ถ้าทำไม่ได้ก็จบอีก เพราะงั้นตอนนี้เรามีความรู้ ไอ้ทำได้ไม่ได้เป็นประเด็น อีกประเด็นหนึ่งงั้นต้องอาศัยส่วนสำคัญนเรื่องการศึกษาให้ความรู้ อย่างที่น้องเค้าว่ามาเนี่ย มันเป็นการยากต้องกระจายให้ได้ แต่ต้องทำได้


4. เรียนถามท่าน ดร.ละเอียด ว่าระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้มีผลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนในอนาคตหรือไม่


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวหรือไม่ ปัจจุบันนี้ระบบเศรษฐกิจเป็นยังไง มันเป็นยังไงระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันอธิบายให้ได้ใจความหน่อย เพราะเกิดข้อสงสัยขึ้นมา
นักศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันหมายถึง การค้า การท่องเที่ยว หรือรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่หรือของรัฐบาลที่นำมาปรับปรุงการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนในอนาคต คือว่าจะมีผลกระทบไหม ถ้าเศรษฐกิจยั่งยืน การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเศรษฐกิจดี การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนจะเป็นอย่างไร


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
ถ้าเศรษฐกิจแย่การพัฒนาการท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไร การท่องเที่ยวมันขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจด้วยรึเปล่า การพัฒนาการท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจหรือเปล่า ต้องตอบก่อน ถ้าระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลมันแย่ มันขึ้นอยู่ไหม เศรษฐกิจโดยรวมของชาติ มันแย่ มันขึ้นตรงไหม มันขึ้นต่อไหม ถ้าเศรษฐกิจของชาติมันขึ้นตรงต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเนี่ย ถ้าเศรษฐกิจแย่การพัฒนาการท่องเที่ยวก็แย่ด้วย คุณคิดว่ามันขึ้นตรงไหม ถ้าขึ้นตรงมันก็ต้องแย่ด้วย และถ้ามันแย่จะพัฒนายังไงในเมื่อเศรษฐกิจยังแย่ ไม่ต้องพูดถึงเลยจบอยู่แล้ว ในเมื่อบอกเองว่า ถ้าเศรษฐกิจแย่อะไรก็แย่ แล้วจะทำอะไร แค่ให้มีกินก็บุญแล้ว การท่องเที่ยวมันก็พัฒนาไม่ได้ อย่าว่าแต่พัฒนายั่งยืนเลย พัฒนายังพัฒนาไม่ได้เลย พัฒนาแล้วยั่งยืนไม่ยั่งยืนเป็นอีกเรื่องนะจะพัฒนาเนี่ยยังยาก เพราะเศรษฐกิจยังแย่ คือที่ถามมันให้ข้อมูลหมดแล้วเลยตอบง่าย ว่าเศรษฐกิจมันแย่มันก็ไปไม่รอด ถามว่าจะทำยังไงต่อ ไม่ต้องทำเอาให้มีกินก่อนเถอะ ถ้าเศรษฐกิจมันพัง แต่ว่าที่น้องพูดนะน่าสังเกตนะ เศรษฐกิจพังแล้วจะเที่ยวมัวขายกันเละเทะๆ ถ้าเศรษฐกิจพังแล้ว นักท่องเที่ยวมาพาเข้าป่ายิงกวาง ยิงหมี เที่ยวกินไปเลยเพื่อหาเงินมันไม่ถูก การตั้งข้อสังเกตที่ดีเหมือนกันไม่ใช่เศรษฐกิจแย่แล้วการพัฒนาก็เละเทะ มันก็ไม่ได้ แต่ไม่ห่วงเศรษฐกิจตกต่ำขนาดนั้นนะ นักท่องเที่ยวไม่มาแล้ว เศรษฐกิจตกต่ำขนาดนั้น นักท่องเที่ยวไม่มาแล้ว คือตกต่ำก็เลยไม่มา ปั่นป่วนก็เลยไม่มา หรือไม่ว่าเค้าไม่มาก็เลยปั่นป่วนได้ทั้ง 2 แบบ ไม่มาก็ไม่มีรายได้ก็พอกัน


อาจารย์พิทยะ ศรีวัฒนสาร
ขอเรียนเสริมว่าเศรษฐกิจไม่ดี ส่งผลให้การท่องเที่ยวไม่ไปเลย อย่างเช่นประเทศฟิลิปปินส์ นักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ต้องเดินทางมาเที่ยวที่นี่ เพราะไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสนามเด็กเล่น ไม่มีสวนสนุกต่างๆ นักท่องเที่ยวเหล่านี้เข้ามาเพื่อดูสัตว์ มาเที่ยวดรีมเวิลด์และซาฟารีเวิลด์ นอกจากนี้โรงงานอุตสาหกรรมเค้าก็ไม่มี ส่งผลให้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ขึ้นมา จะมีบางส่วนเท่านั้นที่เป็นคนชนชั้นสูงของประเทศที่จะมีศักยภาพในการที่จะบรืโภคในเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือ รับความสุขจากการท่องเที่ยว เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีการท่องเที่ยวก็ขาดการพัฒนา และขาดแรงจูงใจที่จะทำเกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศฟิลิปปินส์เอง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ขอบคุณครับ


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
จริงๆ แล้วฟิลิปปินส์ เค้าเคยดีกว่าเรานะ สมัยก่อนฟิลิปปินส์ดีกว่าเรา ตอนหลังแย่ลง มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวโดนจับเรียกค่าไถ่ 2 ราย ก็จบเลย ตอนนี้ก็ไม่ฟื้น กู่ไม่ขึ้น อินโดฯ ก็วุ่นวาย ในประเทศก็ยุ่ง พอๆ กับบาหลี ประเทศเรายังโชคดี


ดร. สุวันชัย หวนนากลาง
วิทยากรทุกท่านมีความเห็นว่าการพัฒนาที่จะให้ยั่งยืนจะต้องขึ้นอยู่กับหนึ่งระบบการจัดการที่ดี สองการตลาดว่ามีสินค้าแต่ว่าเราไม่ได้หาตลาดว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือใคร ซึ่งมันจะทำให้การพัฒนาในเรื่องการท่องเที่ยว หรือการที่จะขายแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังต้องมีความร่วมมือจากชาวบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ถ้าหากชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจและมีส่วนร่วม ตระหนักถึงคุณค่าของการท่องเที่ยว รู้ว่าผลกระทบในด้าน คืออะไร ก็จะทำการพัฒนาไปสู่จุดหมายที่ต้องการคือความยั่งยืนอีกจุดหนึ่งซึ่งทางด้านท่าน ดร.เสรี หรือ ดร.ละเอียด ท่านกำนันธวัชได้พูดมีความเห็นร่วมกันคือคุณภาพของบุคลากรจะต้องมีพร้อมในด้านที่จะให้ความดูแลต้อนรับนักท่องเที่ยว ชาวบ้านจะต้องมีความรู้ว่าจะต้อนรับขับสู้ยังไง รวมทั้งนักศึกษาซึ่งต่อไปจะเป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะต้องปรับปรุงยังไงบ้าง